มาสด้าพาตะลุยหิมะ เกาะฮ็อกไกโด

การเดินทางนับหมื่นลี้ เริ่มต้นด้วยก้าวแรกเสมอ ในครั้งนี้ก็เช่นกัน แต่การเดินทางดูแปลกแตกต่างจากครั้งที่ผ่านมา เราออกเดินทางตั้งแต่เที่ยงคืนวันอาทิตย์ กว่าจะถึงก็เป็นเวลาของเช้าวันใหม่ โดยปลายทางอยู่ที่เมืองซัปโปโร เกาะฮ็อกไกโด ประเทศญี่ปุ่น ภารกิจที่สำคัญในทริปนี้คือ การไปขับรถที่สนามทดสอบของมาสด้า ซึ่งอยู่ตอนเหนือสุด

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มาสด้าเป็นค่ายรถยนต์ที่มีความมุ่งมั่น และจัดกิจกรรมที่แตกต่างหลากหลายในบ้านเรา เพื่อนำเสนอรถยนต์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเอง มีวัฒนธรรมองค์กรที่แตกต่าง และมีผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองคนใช้รถอย่างดี
ทริปนี้เรามายังเกาะเหนือสุด ซึ่งประเทศญี่ปุ่นเป็นเกาะใหญ่หลักๆอยู่ 4 เกาะ เหนือสุดคือเกาะฮ็อกไกโด เมืองหลักที่หลายคนรู้จักคือซัปโปโร ถัดลงมาคือเกาะฮอนชู เมืองหลักสำคัญคือกรุงโตเกียว เมืองหลวงของประเทศ ไล่ลงมาคือเกาะชิโกะคุ ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับเมืองฮิโรชิมา ถิ่นกำเนิดของมาสด้า และล่างสุดคือเกาะคิวซู เมืองสำคัญที่เรารู้จักคือเมืองฟุกุโอกะ

หนาวสุดขั้วบนหิมะกับสนามทดสอบรถเคนบุชิ
เป็นครั้งแรกที่มาสด้าจัดกิจกรรมทดสอบรถยนต์บนสนามที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ให้กับสื่อมวลชนในกลุ่มประเทศอาเซียน ที่เดินทางมาจากประเทศไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ บรูไน ฟิลิปปินส์ เมียนมา (mjama = มยะมา) ขาดเพียง ลาว เวียดนาม และกัมพูชา

เคนบูชิเป็นสนามทดสอบที่อยู่ทางเหนือมากที่สุด ใช้สำหรับทดสอบในฤดูหนาว จาก 1 ใน 4 ของสนามทดสอบในญี่ปุ่น โดยมี 2 สนามในฮ็อกไกโด ที่แรกคือ นากะสัสสึนัย Nakasatsunai ซึ่งส่วนมากใช้ทดสอบบนถนนที่เป็นน้ำแข็ง เนื่องจากมีหิมะตกน้อยกว่าและมีอุณหภูมิต่ำ ส่วนสนามเคนบูชิ มีหิมะตกจำนวนมากและอุณหภูมิต่ำ ความสามารถในการขับขี่ได้รับการทดสอบบนหิมะและการทดสอบอื่นๆ สำหรับยานพาหนะที่ใช้ในฤดูหนาว การมีสองสนามทดสอบที่แตกต่างกัน ก็เพื่อใช้ทดสอบในสภาพภูมิอากาศในเงื่อนไขที่ต่างกันออกไป ซึ่งไม่มีผู้ผลิตรถยนต์เจ้าไหนในญี่ปุ่นทำเช่นนี้มาก่อน เป็นข้อดีในการพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ของมาสด้า


สนามทดสอบเคนบูชิ สร้างขึ้นในพ.ศ.2533 โดยเช่าพื้นที่ขนาด 4.7 ล้านตารางเมตร ในป่าของเมืองเคนบูชิ และใช้เป็นสนามทดสอบในฤดูหนาว พื้นผิวของถนนในบริเวณนี้เป็นถนนที่ปกคลุมไปด้วยป่าไม้ในฤดูร้อน การสร้างสนามขึ้นมาเพื่อทดสอบทำให้สามารถผลิตยานพาหนะที่มีความหลากหลายในภูมิภาคที่ปกคลุมด้วยหิมะที่เกิดขึ้นจากความเป็นจริง

นั่ง CX-5 บนเส้นทางออฟโรด
หลังจากเปิดตัวมสด้า CX-5 ในบ้านเราเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ก็ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ครั้งนี้มาสด้าอยากให้ทดสอบระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัตโนมัติ หรือ AWD โดยมีคุณโยฮิชิ โฮริ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายขายทั่วโลก ฝ่ายการตลาดของ มาสด้า มอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น เป็นผู้จัดบรรยายคอร์สสั้น

“ผมขอเล่าให้ทุกท่านฟังว่า เหตุใดพวกเราจึงมาอยู่ในเมืองหิมะแห่งนี้ ทั้งๆที่ท่านนั้นมาจากเมืองที่ไม่มีหิมะ มาสด้ามีจุดประสงค์ให้ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารมีประสบการณ์ในการขับขี่รถมาสด้าด้วยความปลอดภัยและมั่นใจ ท่านอาจจะเคยโดยสารรถยนต์ในฐานะคนขับและผู้โดยสารบนถนนที่มีความลื่นไถล รวมถึงยางที่มีความลื่น และเกิดอาการที่น่าประหลาดใจหรือกลัวจากอาการดังกล่าว น้ำ ทราย หรือ เศษดิน บนถนนนั้นเป็นเหตุการณ์โดยทั่วไป มาสด้าได้มีจุดประสงค์ในการสร้างสรรค์รถยนต์ ที่ป้องกันท่านจากเหตุการณ์ที่น่าประหลาดใจหรือสภาพที่มีความน่ากลัว ด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัตโนมัติ”

“ผมจะบรรยายถึงระบบขับเคลื่อนทั่วไปก่อนนะครับ แรงบิดของเครื่องยนต์ที่ส่งมายังล้อหน้า ซึ่งเรียกว่า FWD-front wheel drive หรือการขับเคลื่อนล้อหน้า แรงบิดของเครื่องยนต์ถูกถ่ายทอดไปยังล้อหลัง ซึ่งเรียกว่า RWD-rear wheel drive หรือการขับเคลื่อนล้อหลัง ในระบบเหล่านี้ แรงบิดของเครื่องยนต์ได้ถูกถ่ายทอดไปยังสองล้อหน้าหรือหลังเท่านั้น เมื่อแรงบิดของเครื่องยนต์ได้รับการถ่ายทอดไปยังล้อทั้งสี่ เราจะเรียกว่า 4WD, AWD หรือ 4x4 รถบางรุ่นสามารถสลับโหมดการขับเคลื่อนระหว่างล้อหลัง RWD กับ AWD-all wheel drive ที่ถ่ายทอดไปยังล้อทั้งสี่”

“การขับเคลื่อนสี่ล้ออัตโนมัติ คือ ระบบป้องกันและทำนายในเรื่องของการลื่น เป็นครั้งแรกของโลก ยางรถยนต์จะมีความลื่นเล็กน้อยอยู่เสมอ สิ่งนี้ได้แสดงถึงคุณสมบัติการยึดเกาะถนนของยางรถยนต์ เมื่อมีการเหยียบหรือยกคันเร่ง แรงบิดจะถ่ายทอดสู่ยางและพื้นดิน เมื่อแรงบิดของยางรถยนต์อิ่มตัว การลื่นไถลจะเพิ่มขึ้น เป็นผลทำให้ยางรถยนต์ไม่สามารถถ่ายทอดแรงบิดได้ จากนั้น ผู้ขับและผู้โดยสารจะรับรู้และจดจำการลื่นของรถยนต์ ทำให้ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ การลื่นไถลนั้นจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นโดยที่ผู้ขับขี่ไม่รู้ตัว”
“ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัตโนมัติได้ตรวจพบการเพิ่มขึ้นของการลื่นไถลของล้อด้านหน้า ก็จะถ่ายแรงบิดไปยังล้อหลังทันที ซึ่งจะช่วยป้องกันการลื่นไถลและก่อให้เกิดความปลอดภัยในขณะที่ผู้ขับขี่ไม่ได้ตระหนักในเรื่องนี้ ต่อไปคือ “การประเมิน” สอดคล้องกับเงื่อนไขในการรับรู้และจดจำ ปริมาณที่เหมาะสมของแรงบิดที่ถูกส่งมายังล้อหลัง โดยการประเมินนี้เกิดขึ้น 200 ครั้งต่อวินาที การกระพริบตาใช้เวลา 0.1 ถึง 0.15 วินาที ดังนั้น 200 ครั้งต่อวินาที หมายถึงการประเมินจะเกิดขึ้น 20 ถึง 30 ในขณะที่กระพริบตาเพียงครั้งเดียว พวกเราได้พัฒนาระบบนี้ด้วยความมุ่งมั่นเพื่อไม่ให้ยานพาหนะนั้นลื่นไถลแม้แต่ 1 มิลลิเมตร”

ประสบการณ์ใหม่กับการขับบนหิมะ
สำหรับสถานีนี้ มาสด้าเตรียมรถไว้ให้ขับ 4 คัน ประกอบด้วย มาสด้า CX-3 รุ่นที่กำลังขายออยู่ในเมืองไทย และรุ่นใหม่ที่จะเปิดตัวในช่วงปลายปีนี้ รวมทั้งเป็นครั้งแรกที่มีโอกาสได้สัมผัสรถอเนกประสงค์ 7 ที่นั่ง All New Mazda CX-8 เครื่องยนต์คลีนดีเซล ขนาด 2.2 ลิตร ที่ใส่อยู่มาสด้า CX-5 รุ่นที่ขายอยู่ในบ้านเรา ซึ่งแน่นอนว่าความตื่นเต้นผสมความกลัวเริ่มคืบคลานเข้ามา


ในรอบแรกได้นั่งเป็นผู้โดยสารที่มีทีมงานมาสด้าขับให้ดูเส้นทางก่อน ซึ่งใช้ความเร็วค่อนข้างมาก แต่ช่วงล่างอันเลืองชื่อก็ทำให้รถเกาะหนึบทุกโค้ง รู้สึกหายเกร็งไปได้บ้าง ก่อนที่มานั่งขับเอง มาสด้าทั้ง 4 คัน ทำความเร็วได้ดีและเกาะถนนดีมาก แม้ว่าบนพื้นตลอดทางจะเป็นหิมะ พร้อมกับที่กำลังโปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสาย

สลาลมบนลานหิมะกับมาสด้า3
นี่คือประสพการณ์ครั้งแรกของการซิ่งมาสด้า3 บนลานกว้างที่เต็มไปด้วยหิมะ การขับและควบคุมรถให้อยู่ในทิศทางที่ต้องการ เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ เพื่อทำเวลาได้เร็วขึ้น ไม่เสียเวลาอยู่กับการลื่นไถล เจ้ามาสด้า3 คันนี้ พวงมาลัยตอบสนองอย่างแม่นยำทำไห้การสลาลมบนหิมะเกิดความสนุกมันส์เข้าเส้น นี่คือความสุขของการขับรถจริงๆ

ทำท็อปสปีดบนหิมะ
แค่เห็นทางตรงยาวๆ ประกอบกับข้างทางทั้ง 2 ด้านเป็นกำแพงหิมะ ที่ปกคลุมมานานหลายเดือน ทั้งเย็น ทั้งแข็ง สำหรับสถานีนี้ เราได้เป็นผู้โดยสารไปกับรถ เอ็มพีวี หรือมาสด้า5 ซึ่งในบ้านเราไม่มีจำหน่าย ส่วนมือทดสอบระดับเซียนนั้น เคยทำการทดสอบในสนามนี้มายาวนาน มีความชำนาญด้านการขับบนหิมะ ท่านเล่าว่าเคยทำความเร็วสูงสุดได้มากกว่า 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง


ครั้งนี้ท่านถามว่าอยากจะลองที่ความเร็วเท่าไหร่ ต่างคนต่างมองหน้ากัน เอาที่พี่สบายใจเลยครับ แค่นั้นแหละ พี่เค้าเหยียบสุดออกตัวพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เพียงแค่อึดใจเดียวสุดทางตรงระยะทาง 400 เมตร หันไปมองที่เข็มไมล์ พี่เค้ากดไปเบาะๆ 120 แล้วยกคันเร่ง ดึงเกียร์ลงมาหนึ่งสเต็ป หักพวงมาลัยนิดเดียว และพี่ก็กดเข้าโค้งอย่างรวดเร็ว รอบแล้วรอบเล่าคุณพี่เล่นมันส์คนเดียวเลย ส่วนคนนั่งไม่ต้องอธิบายให้มากความ สนุกไปกับพี่เค้าด้วยเลยละกัน

ชมทิวทัศน์รอบๆ สนามเคนบุชิ
เจ้าหน้าที่ของมาสด้า ได้พาขึ้นรถออกตระเวนไปทุกซอกทุกมุมของสนาม ซึ่งขาวโพนไปด้วยหิมะสลับกับต้นสน พร้อมกับการโปรยปรายขอหิมะลงมาตลอดเวลา ทำให้นึกถึงบางฉากในภาพยนตร์ต่างประเทศ เหมือนภาพวาดในจิตนาการ นอกจากนี้ยังมีรถจักรกลขนาดใหญ่หลายคันจอดเรียงรายเพื่อโกยหิมะออกจากแทร็กของสนาม เพื่อให้การขับขี่ทำได้สะดวกขึ้น สนามที่นี่กว้างใหญ่ไพศาล ทุกสภาพของถนนจัดไว้เพื่อให้มั่นใจได้ว่ารถยนต์มาสด้าทุกรุ่นสามารถนำไปใช้ได้ทั่วโลก ทุกภูมิประเทศและทุกภูมิอากาศ


โดยปกติแล้วอาณาเขตของสนามเป็นถนนสาธารณะของเมือง แต่ในช่วงหน้าหนาวจะมีหิมะปกคลุมตลอดตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนจนถึงเดือนพฤษภาคม หลังจากหิมะละลายก็จะกลายเป็นถนนปกติ ซึ่งมาสด้าจะใช้สนามนี้เพื่อทดสอบเพียงแค่ 3 เดือนเท่านั้น คือ มกราคมถึงเดือนมีนาคม

หลังจากเสร็จสิ้นการทดสอบแล้ว ก็ขึ้นรถบัสออกจากสนามเคนบุชิ มุ่งหน้ากลับเข้าสู่เมืองซัปโปโร คืนนี้นอนหงายไข่หดที่โรงแรมโอคุระ ใจกลางแหล่งกิน ดื่ม ช็อป หลากหลายสีสันมีให้เลือกได้ตามอรรถรส เมื่อทนความหนาวเหน็บไม่ไหวก็เข้าห้องนอนแช่น้ำอุ่นๆ ให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น



ก่อนกลับเมืองไทย ได้ไปชมโรงเหล้า ที่ซัปโปโรมีการกลั่นแอลกอฮอล์ ก่อนที่จะออกมาเป็นเหล้าขาวญี่ปุ่น หรือที่เราคุ้นเคยกันดีกับ “สาเก” ที่นี่เป็นโรงงานสำหรับผลิตเหล้าวิสกี้ ชื่อว่า Nikka Whisky ซึ่งก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่พ.ศ.2477 โดยนายทาเคทสึรุ มาซาทากะ ชาวญี่ปุ่นที่ไปเรียนรู้เทคนิคการกลั่นสก๊อตวิสกี้ต้นตำรับที่ประเทศสก๊อตแลนด์ หลังจากเสาะหาพื้นที่ที่มีสภาพภูมิอากาศและธรรมชาติที่ใกล้เคียงกับสก๊อตแลนด์ จึงได้เปิดโรงกลั่นขึ้นที่โยอิจิ


ภายในพื้นที่ประกอบด้วยคฤหาสน์ที่ทาเคทสึรุและริต้าภรรยาสาวสวยชาวสก๊อตแลนด์เคยอาศัยอยู่ และพิพิธภัณฑ์วิสกี้และอื่นๆ ซึ่งรวมอยู่ในพื้นที่โรงกลั่นซึ่งเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมได้ การเยี่ยมชมโรงกลั่นสามารถเห็นกระบวนการตั้งแต่การตากข้าวบาร์เล่ต์ ซึ่งเป็นวัตถุดิบ การกลั่น การทำถังบ่ม การเก็บรักษาในโกดัง ซึ่งเป็นสถานที่หลักที่เกี่ยวข้องกับการผลิตวิสกี้ ใช้เวลาในการเยี่ยมชมประมาณ 1 ชั่วโมง และมาถึงโรงเหล้ากันทั้งทีก็ต้องได้ลองชิมกันบ้าง

เสร็จสิ้นภารกิจแล้วก็กลับสู่โรงแรม พูดคุยกับคณะผู้บริหารระดับสูงของมาสด้า เกี่ยวกับอนาคตที่มาสด้าตั้งเป้าหมายไว้ โดยเฉพาะเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ-เอ็กซ์ ที่มาสด้าหมายมั่นปั้นมือว่านี่คือ ที่สุดของเทคโนโลยีที่จะเข้ามาอยู่ในเครื่องยนต์สันดาปภายใน และจะประสบความสำเร็จอย่างสูงเมื่อเข้าสู่ตลาด เช่นเดียวกับเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ ที่มาสด้าทำสำเร็จสามารถพลิกฟื้นธุรกิจและอุตสาหกรรมยานยนต์ของโลกในปัจจุบัน

มาสด้าได้เตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ ด้วยการประกาศวิสัยทัศน์ในระยะยาวภายใต้ชื่อโครงการ SUSTAINABLE ZOOM-ZOOM 2030 ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีเจนเนอเรชั่นใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอีก 13 ปีข้างหน้า (พ.ศ.2573) ในฐานะของการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีใหม่นี้ และเตรียมเปิดตัวแนะนำเครื่องยนต์เจนเนอเรชั่นใหม่ที่เรียกว่า SKYACTIV-X ในปีพ.ศ.2562 โดยเฉพาะเครื่องยนต์เบนซิน SKYACTIV-X จะกลายเป็นเครื่องยนต์เบนซินในเชิงพาณิชย์เจ้าแรกของโลกที่ใช้การจุดระเบิดด้วยการอัดอากาศ
โปรดติดตามว่าครั้งหน้าอีกไม่นานเกินรอเราจะพาสมาชิก 4x4Special ไปตะลุยความเพลินที่ไหน ได้โปรดเถอะ..สวัสดี