สนุกกับชีวิตแบบ Japan Style

สำหรับทริปลุยงานใหญ่ Tokyo Motor Show 2017 ก็จบเห่ลงเปลแล้วนะครับ หลังจากที่ลุยเรื่องงานเป็นที่เรียบร้อย เราก็อย่าให้เรื่องงานมาทำให้เรื่องเที่ยวจบลงไปด้วย มาต่างถิ่นแบบนี้ก็ต้องจัดให้เต็ม  

   

ย้อนไปตั้งแต่ตอนเครื่องบินลงแตะพื้นที่สนามบินนาริตะ อากาศอยู่ที่ประมาณ 12-14 องศา เย็นสบายมากทีเดียว ระหว่างเดินจากอาคารไปที่ลานจอดรถบัส สิ่งที่ตื่นตาตื่นใจคือ รถยนต์ซึ่งมีแต่รุ่นที่ชอบๆทั้งนั้น ส่วนใหญ่มีขนาดเล็ก เครื่องยนต์ 3 สูบ ไม่เกิน 1,000 ซีซี.เห็นแล้วเกิดความอยากขึ้นมาเลย ออกจากสนามบินก็ไปที่พักและไปเข้าร่วมคอร์สสั้น Pre Show Presentation Tokyo Motor Show 2017 ที่ฮับโปเอน ซึ่งอยู่กลางกรุงโตเกียว ละแวกนั้นมีโรงเรียน และร้านสะดวกซื้อหลายแห่ง บ้านเรือนและถนนดูเป็นระเบียบ ผู้คนมีวินัยในการใช้รถใช้ถนนอย่างเห็นได้ชัด 

  

ผมเดินแกว่งไปกับ บ.อ.จ.ซึ่งเป็นชื่อเฉพาะของ บ.ก.ท่านหนึ่งที่สนิทกันพองาม ก็มาจบที่ร้านสะดวกซื้อ LAWSON หัวมุมถนนไม่ห่างจากฮัปโปเอนมากนัก เราจัดข้าวปั้นสาหร่ายคนละ 2 หน่วย ชาเขียวญี่ปุ่นอีกคนละขวด เดินไปกินไป สบายใจ แล้วกลับมาแวะกินราเม็งหลังโรงแรม อันนี้ “พี่ก้อง คาร์จูน” เป็นคนแนะนำ เป็นร้านแบบรถเข็น เครื่องเพียบ ให้เยอะ อร่อย อิ่มท้อง ราคามิตรภาพ

  

วันรุ่งขึ้น หลังจากไปร่วมงาน Tokyo Motor Show 2017 ก็ไปเดินเล่นที่ย่านชินจุกุ ชมวิว ชมสาว และหาซื้อของฝาก เดินไปจนเจอ Bicqlo (บิ๊กโคล่) ร้านที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง “บิ๊กคาเมร่า” ร้านขายส่งเครื่องใช้ไฟฟ้ายอดนิยมในโตเกียวและ “ยูนิโคล่” แบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นทันสมัยคุณภาพดีและราคาถูก คอมโบระหว่างเครื่องใช้ไฟฟ้าและสินค้าแฟชั่น ยิ่งในวันหยุดและวันหยุดยาวจะมีการลดราคาเอาใจขาช็อป ส่วนอีกแห่งก็เป็น Don Quijote อยู่สถานีชินจุกุ ที่เหมาะกับการช็อปปิ้งของฝากสุดๆ มีสินค้าจิปาถะ, ขนม, เครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องสำอาง สามารถปลิ้นกระเป๋ากว้านซื้อได้เลย 

  

เดินจนค่ำก็ไปกินมื้อเย็นที่ร้าน Kanidoraku Shinjuku ที่โดดเด่นเห็นง่ายด้วยปูปลอม King Crab ตัวใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่บนตึก งานนี้เราได้สั่งปูชุดใหญ่ เมนูแรกเป็น Kanimiso kora yaki (ปูคิงแคร็บย่าง) เสิร์ฟพร้อมข้าวเปล่า แกะเนื้อปูคลุกเลย อร่อยมาก แล้วมีน้ำซุปปูเป็นหม้อที่เอาไว้กินทีหลัง ซดน้ำ หอม หวานเนื้อปู ต่อด้วย Tarabakani karaage (ปูชุบแป้งทงคัสซึทอด) เมนูนี้ก็เด็ดดวง ถ้าอยากกินปูให้หนำใจ

  

อิ่มแล้วก็ลงไปโต๋เต๋ต่อที่ย่านชินจุกุ แวะชมไปเรื่อย ไปกดกาชาปองฝากหลานชายตัวแสบด้วย ที่ย่านชินจุกุก็มีเยอะ ด้านที่อยู่หลังตึก ALTA (ที่มีจอทีวีใหญ่ๆหน้าสถานี) แผนกของเล่นก็มีให้กดเป็นร้อยๆตู้เลย ราคาค่ากดก็แล้วแต่โยม 100 เยน ถึง 300 เยน แล้วแต่ขนาดของตุ๊กตาที่อยู่ในลูกกาชาปอง วันนั้นผมกดมา 6-7 ลูก คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 300-400 บาท จบวันที่สอง กลับเข้าโรงแรมนอนสบายใจ

เช้าวันรุ่งขึ้นวันที่สาม เราไปทำงานที่โยโกฮาม่าครึ่งวัน กลับมาก็ไปเดินชมของแต่งมอเตอร์ไซค์ ที่อุเอโนะ ผมอยากได้ถุงมือขี่มอเตอร์ไซค์ ก็เดินทางด้วยรถไฟฟ้าของญี่ปุ่น เข้าไปที่สถานี งงเลยครับ มีแต่ภาษาญี่ปุ่น พอดีมีเจ้าหน้าที่มาพูดภาษาอังกฤษและภาษามือด้วย เลยรอดไป การเดินทางไปอุเอโนะ ต้องนั่งรถไฟ JR Line สีเขียว สาย Yamanote Line, Keihin-Tohoku Line ลงสถานี Ueno ออกทางช่อง Park Exit ซึ่งก็เหมือนในหนังที่เราดู คนเยอะ เบียดแน่น แต่ใช้เวลาจากชินจุกุ มาถึง อุเอโนะ แค่ประมาณ 30 นาที เดินต่อไปอีก 20 นาที ข้ามถนนไปอีกฝั่งก็เจอร้าน UPC Ride On เป็นร้านห้องแถวเดียว 3 ชั้น แต่ด้านในร้านอลังการด้วยหมวกกันน็อค พร้อมอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับไบค์เกอร์ครบถ้วน 

งานนี้ผมได้ถุงมือ TAICHI รุ่น RST437 ราคา 6,400 เยน คิดเป็นเงินไทย 1,900 บาท ตอนจ่ายเงินได้พูดคุยกับ Mr.Matsuzaki ได้รับคำแนะนำหลายอย่างเกี่ยวกับถุงมือและหมวก เราบอกว่ามาจากเมืองไทย เป็นไบค์เกอร์ ตั้งใจมาซื้อของที่นี่ Mr.Matsuzaki ยิ้มและยกนิ้วให้ แล้วก็บอก Discount Special For You 1,000 เยน ดีใจแทบจะกระโดดกอดเลย สรุปเหลือแค่ 1,600 บาท ก็แลกนามบัตรสำหรับติดต่อกันทางเฟซบุ๊ค หลังจากนั้นเดินไปชมอีกหลายร้าน เช่น Come Come หรือ Rabee แต่กรรมการเป่าหมดเวลา ต้องกลับย่านชินจุกุ เพื่อมื้อเย็นที่ร้านโคตรปิ้งย่าง Rokkasen

  

Rokkasen เป็นร้านเก่าแก่ตั้งแต่พ.ศ.2529 บุฟเฟ่ต์เนื้อย่างร้านนี้ดังกระฉ่อนไปถึงสมาคมคนรักเนื้อแห่งประเทศไทย จนถึงขั้นมีเมนูภาษาไทยอยู่ที่ร้าน คอร์สที่แพงที่สุดราคา 28,100 เยน เป็นเนื้อวัวชนิดที่ดีที่สุด จัดเต็มด้วยเนื้อสันนอกมัตสึซากะ เนื้อคารูบิมัตสึซากะชั้นดี เนื้อสันมัตสึซากะ ลิ้นวัวดำคัดพิเศษย่างเกลือ ตามด้วยอาหารชนิดอื่นๆ อร่อยจนต้องร้องขอชีวิต ก็อยากจะบอกว่าตอนสั่ง ใจเย็นๆนะครับ ค่อยๆสั่ง ค่อยๆกิน ไม่ต้องสั่งมาตุนเอาไว้ เพราะร้านลักษณะแบบนี้เค้าเสิร์ฟตลอด สั่งมาด้วยความโลภแล้วกินไม่หมด พยามยัดเยียดส่งให้คนอื่นช่วยกินมันดูน่าเกลียด 

  

ตื่นเช้าวันใหม่เป็นวันที่สี่ในโตเกียว วันนี้ต้องไปขับรถกับภารกิจ Mario Real Kart และได้ไปเดินเที่ยวย่านฮาราจุกุ ที่เป็นแหล่งรวมแฟชั่นของวัยรุ่นญี่ปุ่น เป็นแหล่งวัยรุ่น ขายเสื้อผ้าแนวๆ และขายของทั่วไปราคาไม่แพงมาก คุณก้อยที่เป็นไกด์บอกว่า ชิบุย่ากับฮาราจุกุคล้ายกันมาก แต่เสื้อผ้าที่ฮาราจุกุ หลายร้านเป็นแบบรับมาเหมือนแพลตตินั่ม สำหรับชิบุย่าส่วนใหญ่ร้านเป็นแบรนด์ของตัวเอง แต่ที่เราตั้งใจมาคือร้าน 100 เยน ซื้อของฝากแบบกระจุกกระจิกสนุกสนานมากมาย หมดไปไม่มาก แต่ได้ของหลากหลายกว่าที่คิด 

ตกเย็นก็ไปขับรถ Mario Real Kart กลางกรุงโตเกียว เหมือนในหนัง Fast 3 Tokyo Drift เราเริ่มต้นกันที่ Mario Real Kart ซึ่งสามารถเช่ารถโกคาร์ทขับบนถนนจริงๆ พร้อมแต่งตัวเป็นตัวละครในการ์ตูน เกมส์ การันตีเรื่องความปลอดภัย มีไกด์ผู้เชี่ยวชาญช่วยดูแลตลอดโปรแกรม เราเลือกเป็นคอร์ส A ใช้เวลา 2 ชั่วโมง เริ่มต้นที่ชินากาวะ-โตเกียวทาวเวอร์-ชิบุยะ แล้วกลับมาที่ชินากาวะ คอร์สนี้ควรขับช่วงกลางคืน เพื่อชมแสงสียามค่ำคืน 

  

การแปลงร่างเข้าสู่โลกของ Mario Kart ทางร้านจะมีชุดให้เลือกหลายแบบ โดยหลักๆ เป็นคาแรกเตอร์จากซีรีส์เกม Super Mario ที่มีเยอะสุดต้องเป็น Mario ตามด้วยน้องชาย Luigi, เจ้าหญิง Peach, ไดโนเสาร์ Yoshi, ราชาปิศาจ King Koopa และองครักษ์เห็ด Toad คนที่ตัวใหญ่สูงเกิน 180 ซม.อาจมีปัญหาในการใส่ชุดคาแรกเตอร์ต่างๆ ที่เป็นชุดแบบจัมป์สูท เพราะสวมเข้าไปแล้ว ส่วนปลายของชุดจะสั้นเต่อขึ้นมา ดูแปลกตา และน่าเกลียดมากทีเดียว หลังจากสวมชุดเรียบร้อย สตาฟฟ์ที่จะเป็นคนขับนำให้กรุ๊ปต่างๆ จะเรียกลูกทีมมาอธิบาย โดยคอร์สของเราเป็นหนุ่มบราซิล อธิบายขั้นตอนอย่างละเอียด เช่น การขึ้นลงรถโกคาร์ทที่ถูกต้อง, ตำแหน่งวางเท้าเพื่อให้เหยียบคันเร่ง และเบรกไม่พลาด, การสตาร์ทเครื่อง, ทุกคนควรหันไปมองข้างหลังก่อนเปลี่ยนเลน ถึงจะมีกระจกมองข้างให้ แต่ก็มีมุมอับที่อาจมองไม่เห็น และย้ำเรื่องการพกใบขับขี่

รถ Mario Real Kart ใช้เครื่องยนต์ 2 จังหวะ 50 ซีซี.แบบมอเตอร์ไซค์ป๊อป เน้นไปเรื่อยๆไม่รีบ ความเร็วไม่เกิน 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง เราแวะหอคอยโตเกียว พักเข้าห้องน้ำ และถ่ายรูป 10 นาที แต่ช่วงขับผ่านห้าแยกชิบูยา จุดเช็คอินหลักของนักท่องเที่ยว ระหว่างติดไฟแดงเรากลายเป็นจุดสนใจของคนที่กำลังรอข้ามถนน หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปจนแอ็คท่าแทบไม่ทัน หล่อข้ามประเทศกันไป ตลอดเวลา 2 ชั่วโมงที่อยู่บนถนน ขับผ่านย่านสำคัญๆ สิ่งที่เห็นคือ คนญี่ปุ่นมีมารยาทในการขับรถที่ดีมาก ไม่มีขับไล่จี้หรือทำให้คนขับ Kart รู้สึกหวาดเสียว พร้อมเบรกให้เปลี่ยนเลนทุกครั้งที่เราเปิดสัญญาณไฟเลี้ยว รู้สึกได้จริงครับว่า ต่างจากประเทศสารขัณฑ์ลิบลับ 

  

มื้อเย็นสำหรับวันนี้เป็นชาบูขั้นเทพ ที่ร้าน Shabu Onyasai ที่อยู่บนตึก Top House ชั้น 6 ลิฟต์เปิดมาก็เจอร้านทันที พนักงานที่ร้านอาจสื่อสารภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ แต่ก็ใจเย็นและอธิบายจนเราเข้าใจ อันนี้ยกนิ้วให้จริงๆ ที่นี่มีทั้งแบบตามสั่งและแบบกินไม่อั้น ซึ่งแบบกินไม่อั้นก็มีหลายระดับ แตกต่างกันตามชนิดและปริมาณของเนื้อสัตว์ โดยที่สั่งไปครั้งนี้เป็นแบบ Akagi Mochibuta Gensen Gyu 

หลังจากนั้นก็สั่งน้ำซุป Yuzu shitate shiromiso dashi เป็นน้ำซุปมิโสะขาว ค่อนข้างข้น หวาน เค็ม ทางร้านมีป้ายแนะนำว่าไม่ต้องจิ้มกับอะไรเลย เพราะมันมีรสชาติอยู่แล้ว จากนั้นเด็กเสริฟก็ยกมาแบบชุดใหญ่ไฟกระพริบ เริ่มด้วยชุดผักที่มีกะหล่ำปลีรสชาติหวาน ผักกาดขาวที่ก้านเยอะมาก แครอทขูด และเห็ดเข็มทองพิเศษที่กรอบและหวานกว่าปกติ ส่วนเมนูเนื้อสัตว์ก็มีหมูสามชั้น เนื้อนุ่มมาก มันแทบละลาย, เนื้อหมูส่วนสัน นุ่มเด้ง ตามด้วยสุดยอดเนื้อวัวติดมัน มันแทรกอยู่เต็มทั่วชิ้น และเนื้อวัวส่วนสัน กินไปฟินไป ทั้งปิ้งย่าง ทั้งชาบู ต้องบอกว่านอนตายตาหลับแล้วครับ

ตื่นเช้าขึ้นมาวันที่ห้า วันสุดท้ายของการเดินทางมาอยู่ที่ญี่ปุ่น วันนี้เที่ยวทั้งวัน เริ่มจากไปแต่งตัวเป็นคนญี่ปุ่นแท้ๆที่คาวาโกเอะ เมืองคาวาโกเอะคือเมืองเก่าในสมัยเอโดะที่ยังคงอนุรักษ์บรรยากาศความโบราณ ตั้งแต่ในอดีตให้คงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน จนได้รับฉายาน่ารักๆว่าเป็น ลิตเติ้ลเอโดะ (Koedo) โดยเมืองนี้อยู่ในจังหวัดไซตามะ ห่างจากกรุงโตเกียวประมาณยี่สิบกว่ากิโลเมตร เมื่อมาถึงคาวาโกเอะก็แต่งตัวเป็นชาวญี่ปุ่น ซึ่งเป็นชุดยูกาตะ มีให้เลือกหลากหลายตามไซส์แต่ละคน ของผมก็จัดไปในแนวซามูไรสีเทาเข้ม  

ที่เมืองนี้จะเน้นการเดินเที่ยวชมความสวยงามของเมืองเก่า สถาปัตยกรรมเก่าๆของญี่ปุ่น ในถนนบางสายที่อนุรักษ์บ้านเรือนหรือห้างร้านเก่าแก่เอาไว้เป็นอย่างดี เราไปเดินชมโซนบ้านเมืองเก่าคุราซุคุริ หมายถึงตึกโกดังที่มีโครงสร้างแข็งแรง เมืองนี้จึงมีโกดังเก็บสินค้าอยู่หลายแห่ง เจ้าของร้านค้าที่มีฐานะหน่อยจะสร้างโกดังและร้านค้าให้มีความแข็งแรง ทนทานต่อแผ่นดินไหวและไฟไหม้ ปัจจุบันโกดังเก่าแก่ได้ถูกเปลี่ยนเป็นร้านค้า ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก และสถานที่ท่องเที่ยว ยาวเป็นระยะทางหลายร้อยเมตร

ย่านขายขนม Kashiya Yokocho (Candy Alley) เป็นแหล่งรวมร้านขนมยาวเรียงรายตามถนน ขนมที่ขายก็มีลูกอม ขนมเซนเบ้ (ทำมาจากข้าวทอด) ขนมท้องถิ่นของญี่ปุ่น ขายราคาไม่แพง เริ่มต้นที่ 50 เยน เหมาะสำหรับซื้อไปลองชิม หรือซื้อเป็นของฝาก และเมืองนี้ยังมีชื่อเสียงในเรื่องของ ‘มันหวาน’ ที่มีรสชาติอร่อย ง่านนี้ไม่มีพลาดอยู่แล้ว เดินกินกันไปแบบอิ่ม จุก ตลอดทาง 

ถึงนาทีอำลา เราเดินทางกลับโตเกียว และไปสนามบินฮาเนดะ เพื่อเตรียมตัวขึ้นเครื่องกลับประเทศไทย จากความรู้สึกส่วนตัวในการมาเที่ยวญี่ปุ่นครั้งนี้ รวมถึงการมาทำงาน ต้องบอกว่าเป็นรางวัลชีวิต ได้มาเห็นและเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ ได้ศึกษาแนวคิดของผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อย่างโตโยต้า 

ขอบคุณบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด ที่นำโอกาสที่ดีแบบนี้มาให้ ขอบคุณท่านที่ร่วมคณะเดินทาง และท้ายที่สุดขอบคุณ คุณนายที่ให้ตังค์ไปช็อปปิ้งแค่หมื่นเดียว..