สวัสดีค่ะ แฟนเพจอินดี้ทุกท่าน ช่วงนี้อาจจะหายหน้าหายตาไปบ้าง แต่อินดี้หวังว่าจะยังไม่ลืมกัน วันนี้อินดี้กลับมาพร้อมเล่าประสบการณ์การเดินทางไปกับหน่วยแพทย์ “เดินเท้า” เป็นระยะเวลา 5 วัน 4 คืน
การเดินทางไปครั้งนี้ อินดี้ได้ขอเข้าไปมีส่วนร่วมในการ “เดินเท้า” ไปพร้อมๆ กับคุณหมอ และคณะ เพื่อเข้าไปให้รู้ว่า ทำไมจะต้องมี “โครงการแพทย์เดินเท้า” ทั้งๆที่บางจุดรถสามารถเข้าถึง และทำไมจึงต้องเลือกเดินกันหน้าฝน อินดี้จะเล่าให้อ่านนะคะ
• รวมพลก่อนแยกย้ายแต่ละสาย
เริ่มวันแรกของการเดินทาง คณะออฟโรดจะไปพบกับคณะคุณหมอ ที่อมก๋อยรีสอร์ท เพื่อสรุปเส้นทางการเดินทาง ในครั้งนี้การเดินทางถูกแบ่งออกเป็น 2 เส้นทาง หรือ 2 สาย สาย 1 สบโขง สาย 2 นาเกียน ซึ่งอินดี้ได้ร่วมเดินทางไปกับสายสบโขง มีหัวหน้าทีมเป็นคุณหมอ ผอ.เกรียงศักดิ์ ในแต่ละสายมีทั้งคุณหมอรักษาโรคทั่วไป ทันตกรรม หมอเฉพาะทาง พยาบาล เภสัช และเจ้าหน้าที่ส่วนงานต่างๆ ทหารพราน และผู้ติดตาม แบ่งสายเสร็จ ก็แยกย้ายกันพักผ่อน เราจะออกเดินทางกันในวันพรุ่งนี้ 8.30 น.
• ทางลื่นต้องใช้วินช์ดึง
เช้าวันที่ 16 กรกฎาคม 2561 นัดรวมตัวกันที่ อมก๋อยรีสอร์ท เพื่อทำพิธีเปิด ประธานกล่าวเปิดงานเสร็จก็แยกย้ายขึ้นรถตามสายของตัวเอง วันนี้เราจะใช้รถออฟโรด และกลุ่ม Budget เพื่อนำคุณหมอ และขนสัมภาระเข้าไปยังพื้นที่ วันนี้ทีมคุณหมอต้องไปรักษาที่โรงเรียนห้วยตองน้อย เป็นโรงเรียนแรก เส้นทางในช่วงแรก ยังไปได้เรื่อยๆ เป็นทางปูนสลับลูกรัง แต่ในบางช่วงจะเป็นทางขึ้นเขาสูงและชันมาก มาพร้อมกับสายฝนที่โปรยปรายตลอดการเดินทาง
• ชันมาก ต้องช่วยกันดันก้น
ช่วงสุดท้ายก่อนจะถึงโรงเรียนแรก ถนนเป็นดินโคลน ลื่นแฉะ อันตรายมาก กว่าจะถึงโรงเรียนเรียนแรก ก็เกือบเที่ยง คุณหมอและทีม ไม่รอช้า รีบทำการรักษาคนไข้ทันที เรารับประทานอาหารกลางวันกันที่นี่ เป็นอาหารง่ายๆ ข้าวห่อกับหมูทอด น้ำพริกตาแดงห่อใบตอง เสร็จแล้วก็ออกเดินทางต่อ
• ยังเบิกบานกันอยู่
ในช่วงที่เราจะต้องเดินทางไปอีก 1 โรงเรียน ฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก ทำให้ถนนหน้าโรงเรียนลื่นมาก รถที่จะลงมาจากลานจอดต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก ด้านหน้าโรงเรียนเป็นเหว เราจึงต้องให้วินช์ดึงท้ายรถเอาไว้ เพื่อกันลื่น และไปต่อได้ ระหว่างทางที่ไปโรงเรียนบ้านตองหลวง มีรถออฟโรดหลายคันเกิดความเสียหาย เพลาหลุด คลัทช์หมด และเครื่องพัง เนื่องจากสภาพถนนที่ต้องใช้กำลังรถมากกว่าปกติ พวกเรากลัวคุณหมอและทีม จะไปรักษาไม่ทัน จึงต้องให้ลงจากรถ และเดินไปก่อนล่วงหน้า
• คณะลูกหาบ
ทีมที่เหลือช่วยกันดึงและดันอยู่พักใหญ่ ไม่สำเร็จ เราจึงตัดสินใจนำรถคันที่พัง จอดทิ้งไว้ แล้วไปต่อ จนถึงโรงเรียนบ้านตองหลวง ดูเวลาก็เกือบ 6 โมงเย็นแล้ว พี่ๆ ออฟโรดบางส่วนก็เลยตัดสินใจพักค้างคืนกันที่นี่ ส่วนรถที่เสีย ได้ประสานงานกับ “ช่างแดง” ขึ้นมาซ่อมรถให้ในคืนนั้นเลย ในขณะที่ต่างแยกย้ายกันพักผ่อน “ช่างแดง” กับทีมก็กำลังซ่อมรถอยู่
• ข้าวดอยที่ชาวบ้านหุงมาให้กิน
เช้าวันที่ 17 กรกฎาคม 2561 วันนี้ทีมคุณหมอ และสมาชิก ต้องออกเดินเท้าจากบ้านตองหลวง ไปทำการรักษาที่บ้านห้วยยาว ระยะทางประมาณ 16 กิโลเมตร จากที่เมื่อคืนอินดี้ได้สอบถามชาวบ้านว่า โรงเรียนที่เราจะไปไกลมั้ย ชาวบ้านตอบแค่ว่า “ถ้าผมเดินก็ครึ่งวัน” แต่ถ้าพี่เดิน “ผมว่าถึง 5 โมงเย็น” เอิบ!! แอบคิดในใจ มันจะไกลขนาดนั้นเลยหรอ
• เดินลัดเลาะไปตามคันนา
เช้ามาสมาชิกสาย 1 เก็บของใส่ลงกระเป๋า กินข้าวเช้า รับข้าวห่อ ประชุมเส้นทาง ถ่ายรูปจุดสตาร์ท แล้วมุงหน้าบ้านห้วยยาว ในช่วงแรก ขบวนเดินเท้าของเราก็กระชับกันดี ไม่ถึงชั่วโมง เริ่มมีการแบ่งออกเป็นกลุ่มๆ ด้วยกำลังขาของแต่ละคนไม่เท่ากัน ประจวบเหมาะกับเส้นทางเป็นเขาสูงชัน และเป็นป่าทึบ เป็นระยะทางยาว ถ้าจำไม่ผิด อินดี้เดินขึ้น - ลงเขาประมาณ 4 ลูก และต้องข้ามห้วยเล็กๆ
• เดินไปในป่าดิบชื้น
จนมาพักกลางวันกันท่ามกลางป่าดิบชื้น มีโต๊ะอาหารเป็นลานกว้างๆ มีหลังคาห้องเป็นท้องฟ้ากว้างใหญ่ แต่ไม่มีเก้าอี้ให้นั่งนะ ถ้านั่งลงไปทากจะพุ่งตัวหาเราทันที เป็นการกินข้าวกลางวันที่สุดแสนจะระแวง เราอยู่นิ่งไม่ได้เลย มีหน่วยโจมตี (ทาก) รอเราอยู่ตลอด หลังจากพักกินข้าว หายเหนื่อย เราก็ออกเดินทางต่อ ขึ้นเขาอีกนิดหน่อยก็เจอกับทางทุ่งนา เดินลัดเลาะไปตามทุ่งนา ข้ามน้ำ ลงห้วย ทีมสุดท้ายถึงโรงเรียนบ้านห้วยยาวประมาณ 6 โมงเย็น
• ให้บริการชาวบ้าน
นึกในใจ นี่เราเดินกันทั้งวันเลยหรอ เนื้อตัวเปียกชุ่มด้วยเหงื่อและน้ำฝน เท้าที่เปื้อนโคลน ทีมคุณหมอพอรู้ว่ามาถึงช้าก็รีบล้างเท้าใส่เสื้อคลุม เข้าทำการรักษาชาวบ้านก่อนเลย เสร็จแล้วจึงกินข้าวเย็นด้วยกัน จะว่าไป อาหารเย็นมื้อนี้ เป็นมื้อที่อร่อยที่สุด ข้าวดอยร้อนๆ ต้มยำปลากรอบ น้ำพริกปลาทู ผักสดๆ จากไร่ หลังจากกินข้าวเสร็จคุณหมอก็ทำงานกันต่อ สรุปงานของแต่ละวัน ก่อนจะแยกย้ายกันเข้านอน อากาศคืนนี้หนาวใช้ได้เลย ฝนก็ตกทั้งคืน แต่ก็หลับกันสนิท
• ที่พักสุดหรูของพวกเรา
เช้าวันที่ 18 กรกฎาคม 2561 กินข้าวเช้า อ.หมอเกรียง กล่าวขอบคุณ คุณครู และชาวบ้าน แล้วเดินทางต่อไปยังโรงเรียนบ้านปริโกรใต้ เราเดินทางลงจากโรงเรียนไปยังท้ายหมู่บ้าน เพื่อลัดเลาะไปตามเขา สองข้างทางชาวบ้านปลูกข้าวดอยไว้ สวยงามมาก ทางเดินวันนี้ไม่ใกล้ และไม่ไกลเหมือนวันแรก แต่เป็นการเดินบนทางดินที่ชันและลื่น พร้อมจะล้มได้ทุกเวลา
• อาหารกลางวัน
เดินผ่านสันเขาได้ไม่นานก็ต้องข้ามห้วย มีห้วยใหญ่ๆ อยู่ 2 ห้วย ก็จะถึงโรงเรียน เหมือนเดิม คุณหมอและทีม ก็จะทำการรักษาก่อนเพราะชาวบ้านมารอแล้ว มีทั้งถอนฟัน เป็นไข้ ปวดเมื่อย มารอรับการรักษาเต็มโรงเรียน พอรักษาเสร็จ จึงพักกินข้าวกลางวัน แล้วออกเดินทางต่อ เลี้ยวลงไปทางข้างโรงเรียน เป็นทางป่าหิน ห้ามสะพานไม้ไผ่ ลุยน้ำ และไต่เขา น้ำวันนี้แรงมาก ตกลงไป สงสัยต้องไปเก็บร่างกันที่ปลายน้ำโน้นแหล่ะ (อยู่ไหนไม่รู้)
• บริการไถหัว
ใช้เวลาเดินทางจากตรงนี้ไป ประมาณ 2 ชม.กว่าๆ ก็ผ่านลำห้วยน้ำแรงมาก ต้องเดินข้ามน้ำ ดีที่มีต้นไม้ใหญ่ หักพาดทางน้ำ ทำให้เรามีที่เกาะ ไม่งั้นนะ ปลิวไปกับสายน้ำแล้ว อีกไม่นานก็ถึงโรงเรียนบ้านมอโพทะใหม่ คืนนี้เราจะพักแรมกันที่นี่ เราไปถึงกันเร็วพอสมควร จึงมีเวลาพักอาบน้ำก่อนจะเริ่มทำการรักษาประมาณ 4 โมงเย็น
• บริการสระผมไล่เหา
เราช่วยกันจัดโต๊ะ จัดยา เพื่อรอชาวบ้านที่กำลังทยอยเดินกันเข้ามารักษา มีทั้งตัดผม ถอนฟัน และมีบริการสระผมให้ฟรี เนื่องจากเด็กๆ ที่นี่เป็นเหา ถึงกับต้องโกนหัวกันเลย จากนั้นก็แยกย้ายช่วยกันจัดเตรียมที่นอน ซึ่งโรงเรียนนี้มีอาคารเรียนให้เราอาศัยนอนได้แค่อาคารเดียว เราจึงต้องแบ่งครึ่ง ชาย – หญิง มุ้งก็จะเกยกันนิดหน่อยอบอุ่นดีมาก แต่ระหว่างกลางเรากั้นด้วยโต๊ะนักเรียน จัดที่หลับนอนเสร็จก็กินข้าว ก่อนจะเข้านอน ก็แลกเปลี่ยนประสบการณ์กันนิดหน่อย พอขำๆ แล้วก็หลับไป
• ขอบคุณครูและชาวบ้าน
• อาวุธพร้อมเตรียมเดินเท้าต่อ
เช้าวันที่ 19 กรกฎาคม 2561 วันนี้เราต้องแบ่งทีมออกเป็น 2 ทีม เพื่อความรวดเร็ว เพราะยังเหลืออีก 4 โรงเรียน เราจึงมีสาย 4 จี กับ สายชิล เพื่อจะได้เข้ารักษาให้ครบ แน่นอนหล่ะ อินดี้ต้องอยู่สายชิลแน่ๆ สาย 4 จี แยกไปรักษาที่โรงเรียนทีพะแหล่ ส่วนสายชิล ต้องรักษาที่โรงเรียนวาเมทะ สรุปทีมเสร็จ ก็ออกเดินทางไปตามป่าเขา และทุ่งหญ้า ก็ถึงโรงเรียน ชาวบ้านพอรู้ว่าจะมีคุณหมอมาทำการรักษา ก็มานั่งคอยกันมากมาย ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ใช้เวลาไม่นาน ก็รักษาครบทุกคน
• ทางยังชิวๆ
• มีปีนผา ไต่เขา กับไม้เท้าวิเศษ
ออกเดินทางต่อ ทะลุไปยังหลังหมู่บ้าน ไปทางแนวเขา ซ้ายเหว ขวาเขา แต่ไม่ชันเหมือนวันก่อนๆ เป็นเส้นทางดิน มีวัวและควายอยู่ข้างทาง เดี๋ยวเราจะแวะพักกินข้าวกันระหว่างทาง วันนี้นั่งกินข้าวได้ ไม่มีทากรบกวน (คิดเอง) กินเสร็จก็ไปต่อ หลุดจากป่าก็จะมาเจอกับถนนรถ เดินไปตามทางรถ ขึ้นลงเขา 2 ลูก ระยะทางสั้นๆ ก็ถึงโรงเรียนโอโลคีบน ร่างกายที่เหนือยล้า วันนี้ในทีมจึงรู้สึกหนาวๆ ระหว่างนั่งรักษาคนไข้ แต่ก็ไม่มีใครบ่นอะไร
• ถ่ายรูปกับชิงช้าที่โรงเรียน
รักษาเสร็จก็ออกเดินทางต่อ ไปยังโรงเรียนโอโลคีล่าง บนทางถนนรถ ทั้งลื่นทั้งชัน จับกบกันบ้าง ประมาณ 2 กิโลกว่าๆ ก็เจอกับทางปูน ผ่านเข้าหมู่บ้าน เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่คุณครูใช้ในการสัญจรไปมาระหว่าง อำเภออมก๋อย กับเข้ามาสอนที่โรงเรียน ทีม 4 จี มาถึงก่อนจึงทำการรักษาก่อน สายชิลไปถึงช้าก็รีบทำภารกิจส่วนตัว และช่วยกันคัดแยกยาเพื่อฝากไว้ให้กับทางโรงเรียนได้ใช้
• พักแช่น้ำทำสปาเท้าแป็บนึง
• ไปลุยน้ำต่อ
ตามแผนวันนี้คณะออฟโรดจะต้องเข้ามารับทีมเดินเท้าทั้งหมดออกจากพื้นที่ แต่พอไปถึงหมู่บ้าน ได้รับข่าวว่า น้ำในลำห้วยสูงและแรงมาก ออฟโรดไม่สามารถเข้ามารับพวกเราได้ จึงรออยู่ด้านนอก ซึ่งพรุ่งนี้เราจะต้องเดินต่อไปขึ้นรถอีก 9 กิโล ระหว่างเรากินข้าวร่วมกัน บรรยากาศก็จะเหงาๆ นิดนึง ไม่นาน เห็นแสงไฟสูงๆ เสียงเครื่องยนต์ดังๆ เลี้ยวเข้ามาในโรงเรียน ต่างคนต่างมีความหวัง ชะเง้อคอดู
ลุงแดง ป้าศรี พี่เอ๋ และทีมเอก 4x4 เดินเข้ามาหาเราทำให้บรรยากาศในห้องอาหารของเต็มไปด้วยเสียงปรบมือดีใจ คืนนี้เราฉลองกันเต็มที่ได้แล้ว พร้อมหน้าพร้อมตาพี่น้องสาย 1 อินดี้สอบถามทางลุงแดงว่าทำไมถึงมา ลุงบอกว่า เพราะลุงรู้ว่า ที่นี่มีหมอและสมาชิกอยู่ ลุงจึงเข้ามาช่วยให้ทางคณะเดินทางออกอย่างปลอดภัย สุดยอดจริงๆ ก่อนนอนลุงบอกว่าพรุ่งนี้เราต้องเสร็จพร้อม 8 โมงเช้า เพราะน้ำจะสูงขึ้นอีก เกรงจะออกไปกันยาก
• ข้ามสะพานไม้ไผ่
• กำลังใจ
เช้าวันที่ 20 กรกฎาคม 2561 ทีมผู้หญิงกินข้าวเก็บของ เตรียมพร้อม ส่วนทีมชาย เมื่อคืนดึกไปหน่อย รีบกวีกระวาด กินข้าวเก็บของ เตรียมขึ้นรถ จัดคนจัดรถเสร็จก็ออกเดินทาง นั่งรถชมวิวกันได้ไม่นาน ก็ต้องลงจากรถ เพราะทางข้างหน้าต้องเอารถข้ามห้วย เพื่อความปลอดภัย จึงต้องให้ทุกคนลงเดินข้ามสะพานไม้ (ผุ) ที่ชาวบ้านทำไว้สัญจรไปมา
• ระยะทางตามป้าย อีกนิดเดียวก็ถึง
ระหว่างที่ทีมหมอ เดินข้ามสะพาน พี่ๆ ออฟโรด ก็พยายามช่วยกันเอารถข้ามแม่น้ำ ระหว่างที่รถกำลังข้ามจะมีเสียงเชียร์จากคุณหมอและทีมอยู่บนฝั่ง เราใช้เวลาข้ามแม่น้ำแรก ประมาณชั่วโมงครึ่ง รถทั้ง 8 คัน ข้ามผ่านได้ ระดับน้ำก็มากขึ้นทุกนาที พอรถข้ามได้หมดทุกคัน ทุกคนก็ประจำที่ มาคันไหน ขึ้นคันนั้น
• ยังยิ้มได้
• สามหนุ่มนักสู้
นั่งรถเลียบแม่น้ำไปสักระยะ ก็ต้องจอดให้ลงเดินอีก ครั้งนี้แม่น้ำกว้างมากและไหลแรงมาก ลุงแดงบอกว่า ถ้าไม่ให้เสียเวลา ระหว่างรอเอารถข้าม ให้ช่วยขนสัมภาระทุกอย่างเดินข้ามสะพานไปใส่รถที่รออยู่อีกฝั่ง พวกเราไม่รอช้า ช่วยกันขนข้ามไป
• ยิ้มแบบนี้แหละที่เจอลุงแดง กับป้าศรี
• กำลังช่วยกันขับรถข้ามน้ำ
ทุกคนขึ้นรถหมดก็ออกเดินทาง ลุงแดง ป้าศรี พี่เอ๋ และทีมเอก 4x4 ก็ช่วยกันเอารถข้ามน้ำมากันจนหมด ทีมแรกจอดแวะให้คุณหมอและทีมกินข้าวกันที่อุทยานแม่เงา ทีมสองก็ตามมาทันพอดี กินข้าวกันเสร็จเตรียมจะเดินทางต่อ ชาวบ้านที่ผ่านมาแจ้งว่า ยังออกไปไม่ได้ ข้างหน้ามีดินสไลด์ กำลังรอให้รถไถมาเคลียร์ทางให้อยู่ เราจึงต้องจอดรอกันครู่ใหญ่ แล้วก็ออกเดินทางนำคณะส่ง อมก๋อยรีสอร์ท อย่างปลอดภัย
• กลุ่มนี้แหละ ที่ไปรับเราออกมา
• ดินสไลด์ระหว่างทางกลับ
ตลอดระยะเวลา 5 วัน อินดี้ไม่สามารถจะอธิบายได้ทั้งหมด ความประทับใจระหว่างคนต่างวัย ต่างอายุ ต่างอาชีพ เรากินนอนด้วยกัน ลำบากด้วยกัน แต่คำเดียวที่ไม่เคยได้ยินออกจากปาก คือคำว่า เหนื่อย ท้อ ไม่ไหวแล้ว ทุกคนพร้อมที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกัน และมีเป้าหมายเดียวกัน คือผู้ที่ด้อยโอกาสและขาดแคลน
อินดี้ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ทำให้อินดี้ได้รับความรู้ในครั้งนี้ และหวังว่าทุกท่านที่ได้อ่านเรื่องราวของอินดี้ จะทำให้เกิดแรงบันดาลใจ ทำเพื่อแผ่นดิน ทำเพื่อผู้ด้อยโอกาส เล็กน้อยขอให้แบ่งปันกันนะคะ เพราะมีคนที่ลำบากกว่าเรา รอเราอยู่ข้างหน้า สวัสดีค่ะ