กระตุ้นอะดรีนาลีนให้สูบฉีดกับกิจกรรม Mercedes-AMG Driving Experience 2018
Mercedes พาสื่อมวลชนทดสอบสมรรถนะ Mercedes-AMG แบบครบทั้งไลน์อัพเป็นครั้งแรก กับกิจกรรม Mercedes-AMG Driving Experience 2018 ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต พร้อมกันนี้ยังได้เปิดตัวรถรุ่นใหม่ 3 รุ่น และแนะนำผู้บริหารใหม่ มร. โรลันด์ เซบาสเตียน โฟลเกอร์ (Roland Sebastian Folger) ในฐานะประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด
มร. โรลันด์ โฟลเกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด
สำหรับกิจกรรม Mercedes-AMG Driving Experience 2018 นับเป็นครั้งแรกในประเทศไทยกับการทดลองขับสปอร์ตสมรรถนะสูงภายใต้แบรนด์ Mercedes-AMG ครบทั้งตระกูลในทุกเซ็กเมนต์ ซึ่งสื่อมวลชนและลูกค้าจะได้เรียนรู้เทคนิคการขับแบบเต็มสมรรถนะ กับทีมผู้ฝึกสอนมืออาชีพ ดีกรีแชมป์การแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตระดับโลก ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์
มร. โรลันด์ โฟลเกอร์ กล่าวว่า “นับตั้งแต่ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้เปิดตัว Mercedes-AMG ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เราได้นำเสนอรถยนต์รุ่นใหม่ พร้อมทำการตลาดที่หลากหลาย เพื่อตอกย้ำภาพการเป็นผู้ผลิตรถสปอร์ตระดับแถวหน้าของโลกให้แก่ลูกค้าในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากความมุ่งมั่นดังกล่าว ส่งผลให้เราได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าที่สนใจรถยนต์สปอร์ตสมรรถนะสูง ด้วยยอดขาย Mercedes-AMG ทั่วโลกสูงถึงกว่า 130,000 คัน เมื่อปี พ.ศ. 2560 ที่ผ่านมา”
“การส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ ‘ขับเคลื่อนทุกสมรรถนะ’ หรือ Driving Performance ถือเป็นหัวใจหลักของแบรนด์ Mercedes-AMG คือต้องมีทั้งเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย เต็มเปี่ยมด้วยนวัตกรรมเพื่อมอบความเร้าอารมณ์ ซึ่งนอกจากผลิตภัณฑ์ที่ดีแล้ว การขับอย่างปลอดภัยและเต็มสมรรถนะของรถยนต์ ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทางบริษัทฯ ให้ความสำคัญ ด้วยเหตุนี้เราจึงได้จัดกิจกรรม Mercedes-AMG Driving Experience 2018 ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อเป็นการสานต่อปรัชญาในการมอบ ‘สิ่งที่ดีที่สุด’ พร้อมเพิ่มขีดความสามารถในการขับรถยนต์แบบสปอร์ตสมรรถนะสูงให้แก่ทุกท่าน ด้วยการเชิญสื่อมวลชนกว่า 100 ชีวิต รวมถึงลูกค้าของ Mercedes-AMG และ Mercedes-Benz อีกกว่า 600 คน มาร่วมก้าวข้ามขีดจำกัดของตนเองไปพร้อมกับผู้ฝึกสอนมืออาชีพ ดีกรีแชมป์การแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตระดับโลก ในระหว่างวันที่ 13-21 ตุลาคม 2561 นี้อีกด้วย”
มร. ฟรังค์ ชไตน์อัคเคอร์ (Frank Steinacher) รองประธานบริหารฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ช่วยให้แบรนด์ Mercedes-AMG ประสบความสำเร็จมากทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วยเช่นกัน โดยในช่วง 9 เดือนแรกที่ผ่านมา เรามียอดขายที่เติบโตสูงขึ้นกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าถึงประมาณ 350% เพื่อเป็นการรักษาการเติบโตอย่างยั่งยืนของแบรนด์ ทางบริษัทฯ จึงได้มีการดำเนินกลยุทธ์ วางจำหน่ายผลิตภัณฑ์สมรรถนะสูงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเตรียมแผนรองรับกลุ่มลูกค้า Mercedes-AMG ที่เพิ่มมากขึ้น พร้อมเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ที่สนใจรถยนต์กลุ่มนี้”
“ด้วยเหตุนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย จึงได้เปิดตัวคอมมูนิตี้สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการขับรถยนต์สปอร์ตสายพันธุ์แกร่งในตระกูล เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี อย่าง Mercedes-AMG Driving Experience 2018 เพื่อให้ทุกคนได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวกลุ่มรถยนต์ที่แรงที่สุดในโลก (World’s Fastest Family) ไปด้วยกัน รวมถึงการเปิดตัวรถยนต์เมอร์เซเดส-เอเอ็มจีรุ่นล่าสุด ซึ่งเราเชื่อว่าจะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ากลุ่มนี้ได้อย่างแน่นอน”
“สำหรับกิจกรรม Mercedes-AMG Driving Experience 2018 มีไฮไลท์พิเศษอยู่ที่ ผู้เข้าร่วมกิจกรรมทุกท่านจะได้มาร่วมกระตุ้นอะดรีนาลีนให้สูบฉีดเหมือนกำลังแข่งขันกีฬามอเตอร์สปอร์ต จากการสัมผัสและทดสอบรถยนต์ Mercedes-AMG ครบทั้งตระกูลเป็นครั้งแรก โดยในปัจจุบัน Mercedes-AMG มีรถยนต์ที่ทำตลาดในประเทศไทยทั้งหมด 11 รุ่น ทั้งประกอบในประเทศและนำเข้า ครอบคลุมตั้งแต่รถคอมแพคท์ที่ใช้เครื่องยนต์แบบ 4 สูบ รถซีดานที่ใช้เครื่องยนต์หลากหลายแบบ หรือแม้แต่ SUV รถสไตล์คูเป้ รถเปิดประทุน (คาบริโอเลต์) และโรดสเตอร์ตระกูล AMG GT”
เมื่อจบช่วงของพิธีการไปเป็นที่เรียบร้อย ก็ถึงเวลาของความมันส์สำหรับกิจกรรม Mercedes-AMG Driving Experience 2018 โดยในครั้งนี้แบ่งออกเป็น 4 สถานี ประกอบด้วย:
สถานีที่ 1 “Brake and Swerve” เป็นการทดสอบระบบเบรก ระบบความปลอดภัยภายในรถยนต์ อันได้แก่ระบบ ESP และระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) และเป็นการทดสอบในเรื่องของการตอบสนองของประสาทสั่งการและความฉับไวในการสั่งงานของตัวผู้ขับขี่ โดยผู้เข้าร่วมทดสอบจะได้ขับรถมาในทางตรงโดยรักษาความเร็วไว้ที่ประมาณ 80 กม./ชม. สังเกตสัญญาณไฟที่อยู่บนเสา ซึ่งจะติดขึ้นแบบตามใจเซ็นเซอร์ไม่ว่าจะเป็นทางซ้ายหรือขวาไม่มีใครรู้ได้ เมื่อสัญญาณไฟติดทางไหนผู้เข้าร่วมทดสอบจะต้องเหยียบเบรก และหักเลี้ยวหลบสิ่งกีดขวางตามทิศทางของสัญญาณไฟนั้น เมื่อผู้ขับกระทืบเบรกอย่างรุนแรง ไฟเบรกฉุกเฉินจะติดขึ้นโดยอัตโนมัติเพื่อเตือนผู้ขับรถที่ขับตามมาว่ามีการเบรกอย่างรุนแรง
สถานีที่ 2 “ESP Exercise” เป็นการทดสอบโดยอิงจากสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้จริงในชีวิตประจำวัน ด้วยการเปรียบเทียบสิ่งกีดขวางเป็นคนเดินถนนหรือรถที่พุ่งออกมาตัดหน้า ผู้ขับจะได้ทดสอบทั้งการควบคุมรถในสถานการณ์คับขัน และทักษะการใช้สายตาเพื่อกะระยะทาง เริ่มต้นด้วยการขับทางตรงด้วยความเร็วประมาณ 80 กม./ชม. แล้วกระชากพวงมาลัยเพื่อหลบสิ่งกีดขวางที่อยู่ ด้านขวามือโดยไม่เหยียบเบรก และหักพวงมาลัยกลับทางซ้ายเพื่อควบคุมรถกลับเข้าสู่ทิศทางเดิม อินสตรักเตอร์จะแนะนำให้เรามองในมุมกว้าง และมองไปที่ช่องว่าง ไม่ใช่มองไปที่ไพลอน ถ้าสายตาของผู้ขับมองทิศทางที่จะพารถไป มือก็จะพารถไปตามสายตา ซึ่งการฝึกมองทิศทางที่จะไปนี้ นำไปใช้ในการขับรถในชีวิตประจำวันได้ สำหรับระบบ ESP ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ จะทำงานเมื่อตรวจพบว่าเมื่อใช้ความเร็วระดับหนึ่งแล้วมีการกระชากพวงมาลัยอย่างรุนแรง ระบบจะเบรกให้โดยอัตโนมัติ โดยจะเบรกในล้อที่จำเป็นเพื่อรักษาทิศทางของรถ ไฟเบรกจะติดขึ้นเพื่อเตือนผู้ขับรถที่ตามมา และลดความเร็วของรถยนต์ลง 30 กม./ชม.
สถานีที่ 3 “Motorkhana” โดยสถานีนี้จะให้ผู้เข้าร่วมการทดสอบได้ฝึกบังคับรถยนต์ในสนามจำลองเล็กๆ ที่มีอุปสรรคโดยการวางไพลอนดักเอาไว้ ผู้ขับจะต้องผ่านไปให้ได้ในเวลาที่รวดเร็วที่สุด และปลอดภัยที่สุด โดยไม่ชนสิ่งกีดขวางใดๆ เลย ออกจากเส้นสตาร์ตเจอกับสลาลม ต่อเนื่องด้วยโค้งขวากว้าง แต่ส่วนปลายถูกบีบให้แคบ ทำให้ต้องใช้ความเร็วที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้รถสะกิดไพลอน พ้นโค้งขวาเข้าสู่ทางตรงและสลาลมสั้นๆ พุ่งเข้าสู่ช่วงหักหลบซ้าย ก่อนเข้าจุดเบรกให้หยุดนิ่งในกรอบที่กำหนด ได้ขับคนละ 2 รอบโดยแต่ละรอบจะได้เปลี่ยนรถ 1 ครั้ง รอบแรกผู้เขียนหลงไลน์ขับออกนอกเส้นทางไปพอสมควร จนมารอบที่ 2 มีอินสตรักเตอร์มานั่งเป็นเพื่อน และคอยบอกจุดให้เลี้ยว รอบหลังเลยสนุกกว่าเดิม
ต่อด้วยสถานีที่ 4 “Cornering Theory” เป็นสถานีทดสอบการเข้าโค้ง ที่จะใช้พื้นที่โค้งภายในสนามทั้งหมด 4 โค้ง ซึ่งแต่ละโค้งมีความกว้างและรัศมีที่แตกต่างกันไป ทุกโค้งจะมีไพลอนวางไว้เป็นสัญลักษณ์ ไพลอน 3 ตัวให้เบรก ไพลอน 1 ตัว ทั้งด้านในและด้านนอกโค้ง เป็นจุดที่ให้นำรถเข้าไปใกล้ บางโค้งในสนามช้างมีจุด Apex ที่ลึกเกือบปลายโค้ง เมื่อขับได้ตามไพลอนที่วางเพื่อบอกจุดเข้าโค้งไว้ ก็จะขับได้ตาม Racing Line ทำให้ใช้ความเร็วในโค้งในได้อย่างเหมาะสม เข้าโค้งได้อย่างมั่นคงปลอดภัยและกดคันเร่งชู๊ตออกจากโค้งได้เร็วขึ้น ตัวรถจะไม่โคลงมาก ขับผ่านโค้งได้เร็วและลื่นไหล ถ้าเข้าโค้งถูกต้องทุกโค้ง เวลาต่อรอบก็จะดีขึ้นด้วย
นับเป็นประสบการณ์ที่สุดยอดมากกับการได้ขับ Mercedes-AMG ครบทุกไลน์อัพในสนามแข่ง สามารถใช้ความเร็วสูงได้อย่างปลอดภัย ขับง่าย เสียงเครื่องยนต์มันส์เร้าใจโสตประสาทจริงๆ
หลังจากสนุกกันในสนามเป็นที่เรียบร้อยก็มาในช่วงของการเปิดตัวรถทั้ง 3 รุ่น ประกอบด้วย Mercedes-AMG C 43 4MATIC Coupé รุ่นปรับโฉม ประกอบไทย ราคา 4,220,000 บาท, Mercedes-Benz C 200 Coupé AMG Dynamic รุ่นปรับโฉม ประกอบไทย ราคา 3,450,000 บาท และไฮไลต์ของงานกับซีดานพันธุ์ดุ Mercedes-AMG E 63 S 4MATIC+ ราคา 12,790,000 บาท แรงที่สุดที่เคยมีมาในรถยนต์ตระกูล E-Class
Mercedes-AMG C 43 4MATIC Coupé
รถสมรรถนะสูงตระกูล 43 โฉมใหม่ ปรับภาพลักษณ์ สมรรถนะ อัตราการใช้พลังงาน และความสปอร์ตให้ใหม่ ตัวรถมากับกระจังหน้า AMG ก้านคู่ ตกแต่งด้วยสีเงินด้าน ฝากระโปรงหน้าใหม่ปรับโครงสร้างบังคับทิศทางลมให้ยกตัวขึ้นจากฝากระโปรงหน้า ออกแบบให้ช่วยควบคุมการไหลเวียนของลมที่ปะทะด้านหน้าของตัวรถให้ดียิ่งขึ้น ล้อแม็กน้ำหนักเบา AMG มีช่องลมและองศาก้านล้อที่ปรับปรุงอย่างละเอียดในอุโมงค์ลม เพื่อให้การไหลเวียนของอากาศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการพัฒนาล้อแม็กนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาด้านอากาศพลศาสตร์ น้ำหนักรถ และความร้อนที่ระบบเบรก อันส่งผลโดยตรงต่อสมรรถนะและอัตราการใช้พลังงาน
ฝากระโปรงหลังมาพร้อมกับโครงสร้างบังคับทิศทางลม และดิฟฟิวเซอร์ใหม่ ช่วยพัฒนาการไหลเวียนของอากาศด้านหลังตัวรถ ปิดท้ายด้วยท่อไอเสียใหม่ แบบ Two round twin tailpipe ประตูเป็นแบบไร้ขอบ กรอบกระจกมองข้างสีดำแบบลอยตัวจากตัวถัง ขอบตกแต่งสีดำเงาบริเวณด้านข้างตัวรถและกรอบหน้าต่าง รอบคันเด่นด้วยชุด AMG Bodystyling (กันชนหน้า-หลังและสเกิร์ตข้าง) ไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED มีระบบไฟส่องสว่างขณะขับผ่าน 4 แยกหรือวงเวียน ระบบไฟส่องสว่างสำหรับการขับในเมือง และระบบไฟส่องสว่างสำหรับสภาวะอากาศเลวร้าย รวมถึงหลังคาพาโนรามิคซันรูฟระบบไฟฟ้า
ห้องโดยสารตกแต่งด้วย AMG matt Silver glass-fibre มาพร้อมเบาะ AMG Sport Seat หุ้มหนังแท้ มีระบบอุ่นเบาะและระบบทำความเย็นที่ปรับได้ 3 ระดับ พนักพิงหลังและปีกทั้ง 2 ข้างมีการเสริมเพื่อปกป้องด้านข้างของผู้ขับขณะขับด้วยความเร็วสูง พนักพิงศีรษะออกแบบเป็นพิเศษ สะดวกสบายด้วยมาตรวัดดิจิทัลขนาด 12.3 นิ้ว แสดงผล 3 แบบในสไตล์ AMG คือ Classic, Sport และ Progressive พร้อมระบบปฏิบัติการที่ใช้งานง่ายและมีความยืดหยุ่นสูงในการควบคุม ผู้ขับสามารถเลือกคำสั่งต่างๆ ได้สะดวกรวดเร็ว และสอดคล้องกับสภาพการขับด้วยความเร็วสูง
พวงมาลัยใหม่ AMG Performance Steering Wheel ทรงสปอร์ตท้ายตัด หุ้มหนัง Nappa ออกแบบให้สามารถใช้คำสั่งหรือก้านควบคุมต่างๆ ได้ง่ายยิ่งขึ้น คันเกียร์ที่คอพวงมาลัยชุบวัสดุโลหะ รองรับโหมดเกียร์ธรรมดา Touchpad 2 ข้าง ที่คอพวงมาลัยเป็นอุปกรณ์ใหม่ที่เพิ่มเติมเข้ามาในรุ่นนี้ ด้านซ้ายใช้ควบคุมแผงมาตรวัดและ Cruise Control ส่วนด้านขวาใช้ควบคุมระบบมัลติมีเดีย สมาร์ทโฟน และระบบสั่งการด้วยเสียง ในขณะที่จอมัลติมีเดียขนาด 10.25 นิ้ว ทำงานร่วมกับ MB Audio 20 พร้อม Touchpad และ Controller พร้อมระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester® และมีระบบป้อนเข็มขัดนิรภัยอัตโนมัติสำหรับผู้ขับและผู้โดยสารด้านหน้า
เทคโนโลยีชุดคำสั่ง AMG สำหรับบอกข้อมูล ได้แก่ หน้าจออุณหภูมิของเหลว (Warm-up) แสดงอุณหภูมิน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ และแรงดันในโหมด Boost, หน้าจอการตั้งค่า (Setup) แสดงข้อมูลของโหมดการขับที่ใช้งานอยู่ การตั้งค่าระบบ กันสะเทือน โหมดการปล่อยไอเสีย การตั้งค่าระบบ ESP® และเกียร์ที่ใช้อยู่, หน้าจอแรงจี (G-Force) แสดงแรงจีปัจจุบันที่กดลงมาที่ตัวรถ เมื่อผู้ขับใช้ความเร็วใดๆ และให้คำแนะนำในการขับให้เหมาะสม, หน้าจอจับเวลา (Race Timer) สำหรับการจับเวลาโดยตัวผู้ขับเอง ซึ่งสามารถจับเวลาต่อรอบพร้อมทั้งแสดงรอบที่ใช้เวลาน้อยและมากที่สุดได้พร้อมกัน รวมถึงระยะที่ขับและความเร็วเฉลี่ย และ หน้าจอข้อมูลเครื่องยนต์ (Engine data) แสดงแรงบิดและกำลังเครื่องยนต์แบบ กราฟแท่ง รวมถึงแรงดันในโหมด Boost
ส่วนจอดิจิทัลสำหรับแสดงความเร็วและเกียร์ปัจจุบัน เมื่อเปิดการใช้งานโหมดเกียร์ธรรมดา สัญลักษณ์ตัว M สีเหลืองจะปรากฏขึ้นมาที่หน้าจอ พร้อมระบบ AMG DYNAMIC SELECT ที่มีให้เลือก 5 โหมด คือ Comfort, Sport, Sport Plus, Individual และโหมดใหม่ คือ Slippery ช่วยกระจายกำลังให้เป็นไปอย่างสม่ำเสมอ และเหมาะสมกับสภาพถนนที่เปียกเพราะฝนหรือหิมะ
Mercedes-AMG C 43 4MATIC Coupé รุ่นประกอบไทย ใช้เครื่องยนต์เบนซิน V6 ความจุ 2,996 ซีซี. กำลังสูงสุด 390 แรงม้าที่ 6,100 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 52.9 กก.-ม. ที่ 2,500 – 5,000 รอบ/นาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 4.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. ราคาจำหน่าย 4,220,000 บาท.
Mercedes-Benz C 200 Coupé AMG Dynamic
อีกหนึ่งรุ่นประกอบในประเทศ ได้รับการพัฒนาให้มีความสปอร์ต และเพิ่มประสบการณ์ในการขับที่ดียิ่งขึ้น ด้วยแผงมาตรวัดดิจิทัล และติดตั้งระบบกันสะเทือน DYNAMIC BODY CONTROL รวมทั้งเครื่องยนต์ 4 สูบที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี EQ Boost ตัวรถมากับงานออกแบบด้านหน้าและด้านท้ายใหม่ ติดตั้งล้อแม็กน้ำหนักเบา ใช้เทคโนโลยีไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED พร้อมระบบไฟสูงแบบ ULTRA RANGE Highbeam และระบบกันสะเทือนแบบ AMG Sports Suspension Based on AIR BODY CONTROL
ห้องโดยสารใช้เบาะนั่งแบบสปอร์ต จอมัลติมีเดียส่วนกลางขนาด 10.25 นิ้ว พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นใหม่ ไฟ Premium Ambient Light เลือกได้ถึง 64 สี ระบบเครื่องเสียงรอบทิศทาง Burmester® surround sound system และหลังคาแก้ว Panoramic Sliding Sunroof ส่วนระบบความปลอดภัยจะมากับระบบช่วยเหลือผู้ขับมากมายเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน อาทิ ระบบ ATTENTION ASSIST พร้อมถุงลมนิรภัย 7 ลูก 9 ตำแหน่ง เป็นต้น
พละกำลังมาจากเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ความจุ 1,497 ซีซี. พร้อมเทอร์โบ และอินเตอร์คูลเลอร์ กำลังสูงสุด 184 แรงม้าที่ 5,800 – 6,100 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 28.5 กก.-ม. ที่ 3,000 – 4,000 รอบ/นาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 7.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 239 กม./ชม. ราคาจำหน่าย 3,450,000 บาท.
Mercedes-AMG E 63 S 4MATIC+
ที่สุดของโคตรซีดานสมรรถนะสูงในตระกูล E-Class ซึ่ง Mercedes-AMG ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับรถในเซ็กเมนต์นี้ ผ่านการนำเสนอเทคโนโลยีล่าสุด พร้อมการมอบความเร็วที่เหนือกว่า ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน V8 เทอร์โบคู่ กำลังสูงสุด 612 แรงม้า นับเป็นเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่เคยติดตั้งใน E-Class ตัวรถมาพร้อมเทคโนโลยีที่ช่วยลดการทำงานที่สูญเปล่าของเครื่องยนต์ และเพิ่มอายุการทำงานของลูกสูบ นั่นคือระบบหยุดการของลูกสูบในบางจังหวะตามความเหมาะสม CDS (Cylinder Deactivation System) รวมถึงเพิ่ม AMG SPEEDSHIFT MCT (มัลติคลัทช์) และเกียร์ 9 จังหวะ พร้อมกับคลัทช์เปียก (wet start-off clutch) เป็นครั้งแรก เพื่อช่วยเพิ่มความสามารถในการตอบสนองให้คล่องตัวขึ้น
ห้องโดยสารมากับเบาะ AMG Performance Seat จอความละเอียดสูง COMAND® ขนาด 12.3 นิ้ว เลือกหน้าจอได้ 3 แบบ Classic, Sport และ Progressive ไฟแอมเบียนท์ในห้องโดยสารปรับได้ 64 สี และระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester® high-end 3D surround sound system ส่วนระบบความปลอดภัยมีอาทิ ระบบ AMG DYNAMIC SELECT, ระบบ PRE-SAFE , ระบบช่วยรักษาระยะห่างจากรถคันหน้า Distance Pilot DISTRONIC, ฟังก์ชั่นเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน Apple CarPlay, ระบบเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนผ่าน Bluetooth และจอ Head-up display
Mercedes-AMG E 63 S 4MATIC+ ใช้เครื่องยนต์เบนซิน V8 ความจุ 3,982 ซีซี. เทอร์โบคู่ กำลังสูงสุด 612 แรงม้าที่ 5,750 – 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 86.6 กก.-ม. ที่ 2,500 – 4,500 รอบ/นาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 3.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. ราคาจำหน่าย 12,790,000 บาท.
สำหรับท่านใจที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติม เชิญได้ที่ www.mercedes-benz.co.th