
• ภายในตู้รถราง

• มองเห็นทะเลสาบอยู่เบื้องล่าง
หลังจากเสร็จสิ้นการทัวร์พระราชวังแวร์ซายแล้ว ก็เริ่มเดินทางต่อ โดยจุดหมายปลายทางต่อไปของทริปนี้ก็คือ เมืองลูเซิร์นประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่แทบจะอยู่ใจกลางของยุโรป แต่สวิตเซอร์แลนด์ ไม่ได้อยู่ในสหภาพ EU นะ ซึ่งมันจะทำให้เราสบายใจได้ขึ้นมานิดหนึ่ง ว่าอย่างน้อยกระเป๋าของเราก็คงไม่น่าจะโดนล้วงเหมือนตอนอยู่ฝรั่งเศส ซึ่งจากที่มองเห็นประชาชนของเค้าก็ดูมีความสุขมากเลยนะ ไม่เห็นคนไร้บ้านหรือพวกยิปซีที่มาเร่ร่อนขายของเลย

• หิมะเริ่มลงหนักแล้ว

• คุณนายแม่กำลังเพลิน
ก่อนจะไปถึงเมืองลูเซิร์น นั้นก็จะแวะขึ้นยอดเขาสักนิดหน่อย ซึ่งยอดเขาที่จะไปขึ้นในครั้งนี้ก็คือยอดเขาทิตลิส นับเป็นอีกหนึ่งยอดเขาที่มีชื่อเสียงประจำประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แต่ว่าระหว่างที่เดินทางไปยอดเขาอยู่นั้น ก็ดันเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นอีกแล้ว เพราะว่าเมื่อไกด์โทรไปเช็คกับศูนย์ ปรากฏว่าสภาพอากาศในวันนี้เลวร้ายมาก เป็นสภาพอากาศปิด มืด ลมพัดแรง จนกระเช้าไม่สามารถทำการได้

• ลูกชายคุณนายแม่

• ขาวโพลนเลย
ความซวยจึงมาตกอยู่ที่ไกด์ของเรานี่เอง ซึ่งในคราวนี้ก็ไม่พ้น ไกด์ของเราต้องด้นสดอีกแล้ว ซึ่งก็ไม่ทำให้ผิดหวังซะด้วย เพราะไกด์ของเราได้ประสานงานกับไปยังศูนย์ เพื่อหายอดเขาที่ยังคงเปิดอยู่ เพื่อไม่ให้การเดินทางในครั้งนี้ต้องเสียเที่ยว และหวยก็ไปตกอยู่ที่ยอดเขาริกิ แต่ก็ต้องบอกก่อนว่ายอดริกิ นั้น อาจจะไม่ใช่ยอดเขาที่มีความสูงมากนักเมื่อเทียบกับทิตลิส แต่มันก็ดีกว่ามาถึงแล้วไม่ได้ขึ้นแหละวะ

• มองไปข้างล่างเห็นเมืองอยู่ลางๆ

• บรรยากาศอึมครึมมาก
พอมาถึงตอนนี้ก็คงคิดว่าอุ่นใจ ไปได้เปาะนึงแหละ แต่ที่ไหนได้ มีงานเข้ามาอีกแล้ว เพราะว่ารถรางที่จะขึ้นยอดเขาริกิ รอบสุดท้ายนั้นปิดบ่ายสามโมง งานก็มาตกอยู่ที่ ฟรานเชสโก้ ยอดนักซิ่งแห่งโครเอเชียอีกแล้ว เพราะตอนบ่าย 2 โมง 45 เจ้าหน้าที่ที่ศูนย์ริกิ ได้โทรมาถามว่าถึงไหนแล้วเพราะกลัวว่าจะไม่ทันขึ้นรถรอบสุดท้าย ซึ่งแน่นอนเราเองก็ยังไม่รู้ว่าเราอยู่ไหน ฟราเชสโก้ ก็ไม่เคยมาเหมือนกัน แต่จากที่เช็คใน GPS ดูแล้ว ก็อยู่ห่างไม่มากแค่ 15 นาทีเอง

• มองเห็นได้ไม่ไกลเท่าไหร่

• เป็นป้ายร้านอาหารที่แหวกมาก
ใช่แล้วครับ 15 นาที มันหมายความว่าไม่มีเวลาให้เบรคเลยนะ ไปถึงปุ๊บลงจากรถใส่เกียร์หมาวิ่งหูตูบเลยทีเดียว ผู้สูงอายุในทริปนี้ก็ร้องโอดโอยปวดเข่ากันเป็นแถว เพราะต้องสับแหลกจากรถบัสมาถึงรถรางมันก็ไกลพอสมควรประมาณ 100 เมตรได้

• รอคนมานั่งข้างๆ

• ระบบการจ่ายไฟจากด้านบนโบกี้
ในส่วนของรถรางที่ใช้ขึ้นเขานั้น เป็นรถรางที่มีลักษณะภายนอกเหมือนรถไฟหัวจักรไอน้ำสมัยก่อน แต่บริเวณส่วนขับเคลื่อนจะมีเหมือนคล้ายตะขออยู่ที่ราง ในบางช่วงเช่นช่วงขึ้นเขา ตะขอนี้จะเป็นตัวเกี่ยวให้รถรางสามารถปีนขึ้นเขาที่สูงชันได้ ซึ่งเทคโนโลยีนี้ก็เป็นเทคโนโลยีที่มีจุดเริ่มต้นที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์นั่นแหละ

• ถึงยอดแล้ว

• ต้องเดินไปในถ้ำเพื่อขึ้นลิฟท์ไปยังรีสอร์ท
ในช่วงของการขึ้นเขา วิวทิวทัศน์ในช่วงแรกจะเป็นป่าสน เมื่อมองลงไปข้างล่างก็จะเห็นทะเลสาบสวยงามมาก และพอไต่ระดับขึ้นไปสักพัก หิมะก็จะเริ่มตกลงมาเป็นภาพที่สวยงามมากๆ อย่างกับอยู่ในเทพนิยาย ยิ่งพอขึ้นสูงเรื่อยเรื่อยเราก็จะเห็นหิมะปกคลุมตามพื้นมากขึ้น มากจนกระทั่งจากพื้นหญ้ากลายเป็นพื้นสีขาวโพลน การเดินทางจากตีนเขาขึ้นสู่ยอดเขาริกิในครั้งนี้ ใช้เวลาประมาณ 20 ถึง 30 นาทีเห็นจะได้

• ก่อนจะออกไปข้างนอกมีป้ายเตือนว่า ไม่มีใครช่วยนะ

• ลมแรงมากยืนแทบไม่อยู่เลย
ส่วนอุณหภูมินี้ไม่ต้องพูดถึง ยิ่งสูงยิ่งหนาวจริงๆครับ ถ้าดูจากตัวเลขจริงๆก็คือ 0 องศา เอาจริงๆไอ้อุณหภูมิ 0 องศาเนี่ยมันไม่เท่าไหร่หรอกนะ แต่ต้องอย่าลืมนะครับว่าตอนนี้เราอยู่บนยอดเขาและลมพัดแรงมาก สำหรับผมแล้วเนี่ย ลมมันเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เราหนาวเลยนะ จากที่ตอนแรก 0 องศารู้สึกเหมือน -20 ยังไงยังงั้นเลย

• ลงมาข้างล่างเหมือนอยู่คนละโลกเลย

• แชะภาพซะหน่อย
ส่วนที่บริเวณยอดเขาก็จะเป็นลักษณะของรีสอร์ท ขนาดใหญ่พอสมควร มีคาเฟ่ให้ไปนั่งดื่มเครื่องดื่มอุ่นๆ ใช้เวลาอยู่บนนั้นประมาณ 40 นาทีก็ต้องลงมา เพราะเดี๋ยวจะไม่ทันรถขาลงเที่ยวสุดท้าย

• บรรยากาศยามค่ำคืน

• หนาวแต่ก็ดูอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อลงมาถึงข้างล่างฟ้าก็เริ่มมืดพอดี ในช่วงนี้เป็นช่วงของการเดินทางต่อไปถึงเมืองลูเซิร์น ซึ่งเส้นทางที่ใช้นั้นก็เป็นเส้นทางวิ่งลัดเลาะทะเลสาบไปเรื่อยเรื่อย บอกตรงตรงว่าก็ไม่ได้เห็นอะไรมากนัก เพราะมืดแล้ว แต่หากจะให้บรรยายถึงสภาพเมือง ต้องบอกไปว่าเป็นเมืองที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก แต่ความน่าอยู่นี้กินขาด เหมือนเมืองในเทพนิยายยังไงยังงั้นเลย ดูอบอุ่นและน่าอยู่สุดสุด ผู้คนก็ดูเป็นมิตร เห็นจะไม่ดีอย่างเดียวก็ของราคาแพงเนี่ยแหละ

• วิวจากห้องพัก

• เมืองลูเซิร์นข้างหน้านี่เอง