สำหรับกิจกรรมครั้งนี้ใช้ชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า “Colorado Jungle Drive Experience” เน้นให้ผู้สื่อข่าวได้ไปสัมผัสประสบการณ์ขับขี่รถกระบะแบบขับเคลื่อน 4 ล้อ จากเชฟโรเลต โคโลราโด สุดยอดรถกระบะอเมริกันพันธุ์แกร่ง พิสูจน์สมรรถนะอันทรงพลังผ่านทิวเขาสูงชันผ่าน “ถนนลอยฟ้า” ถนนที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย เส้นทางระหว่างจังหวัดเลยสู่อุทยานแห่งชาติเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ เอาใจนักขับสายลุยด้วยภารกิจบุกตะลุยแบบจัดเต็ม ก่อนพักผ่อนชมความงามแบบ 360 องศาที่จุดชมวิวผาตัด ที่ไม่ใช่ขึ้นไปได้ง่ายๆ

โดยรถที่นำมาใช้ในกิจกรรมครั้งนี้เป็นแบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ทุกคัน ได้แก่ “โคโลราโด ไฮคันทรี”  “โคโลราโด ไฮคันทรี สตอร์ม” “โคโลราโด มิดไนท์ อีดิชั่น” และ “โคโลราโด โฟร์ท  ออฟ จูลาย อิดิชั่น” ซึ่งรถกระบะโคโลราโดถือว่าเป็นรถที่ได้รับการยอมรับจากนักขับทั่วโลกว่าเป็นรถยนต์ที่ทนทาน สมบุกสมบัน โดดเด่นด้วยเครื่องยนต์เปี่ยมพลังพร้อมลุยในทุกสภาพถนน ทว่ามอบความสะดวกสบายถึงขีดสุดด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกแบบจัดเต็ม พรั่งพร้อมอุปกรณ์มาตรฐานด้านความปลอดภัย เช่น ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (HDC) ระบบป้องกันการไหลของรถเมื่อขึ้นทางลาดชัน (HSA) และระบบกระจายแรงเบรก (EBD) ที่ให้ลุยทุกเส้นทางได้อย่างมั่นใจ 

รวมทั้งรถกระบะเชฟโรเลต โคโลราโด ทุกรุ่นผลิตขึ้นที่ศูนย์การผลิตรถยนต์ของจีเอ็ม ประเทศไทย ในจังหวัดระยอง ภายใต้มาตรฐานการผลิตคุณภาพระดับโลก เริ่มตั้งแต่การสร้างคุณภาพในกระบวนการผลิต (BIQ: Built-In-Quality) และเทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อส่งมอบรถยนต์คุณภาพสูงสู่ทุกท้องถนน ปัจจุบันได้ผลิตรถยนต์กว่า 1.35 ล้านคัน นับตั้งแต่ปี 2543 อีกด้วย

ภาพลักษณ์ภายนอกคนเห็นกันหมดทุกคนแล้ว คงไม่ต้องพูดถึงกันมาก แต่ที่น่าจะพูดถึงคงเป็นเรื่องสมรรถนะหลักด้านขุมพลังดูราแม็กซ์ ดีเซล ขนาด 2.5 ลิตร 4 สูบ พร้อมเทอร์โบแปรผัน ที่มาในรหัส 2.5 L Duramax XLDE25 LP2 I4 VG Turbo จัดไป 180 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที กับแรงบิดสุูงสุด 440 นิวตันเมตร ที่ 2,000 รอบต่อนาที ส่งพละกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ที่เป็นของ ZF ในรุ่น 6L80 ที่มีพื้นฐานมาจาก ZF6HP ที่เริ่มผลิตมาตั้งแต่ปี 2000 และปรับปรุงมาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน สำหรับเกียร์ตัวนี้ใช้มากมายหลายแบรนด์ ทั้ง BMW VW และ AUDI ผมว่าคนที่เล่นออฟโรด และรู้จักเกียร์ตัวนี้ ไม่ต้องสืบเลยครับว่า มีความแข็งแกร่ง ทนทาน พร้อมลุยขนาดไหน เพราะฉะนั้น ผาตัด ไม่มีปัญหาสำหรับ รถกระบะเชฟโรเลต โคโลราโด แน่นอน

เส้นทางออฟโรดที่ว่านี้เป็นเส้นทางขึ้นสู่ ผาตัด ที่อยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดใน จ.เพชรบูรณ์ ช่วงขึ้นใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ 4H ซึ่งก็นับว่าเหลือเฟือ แม้สภาพเส้นทางจะค่อนข้างทุรกันดารมีร่องน้ำและหินตามธรรมชาติ แต่ด้วยตัวรถที่ออกแบบมาสำหรับขับบนทางออฟโรด ด้วยระยะโอเวอร์แฮงค์หน้า/หลัง 1,004/1,308 มิลลิเมตร ทำให้มีมุมปะทะและมุมจาก 23.3 และ 22.4 องศา กับระยะต่ำสุด 219 มิลลิเมตร อีก 2 ตัวช่วยที่ทำให้ขับลุยได้ง่ายและปลอดภัยขึ้นคือ (HDC) และระบบป้องกันการไหลของรถเมื่อขึ้นทางลาดชัน (HSA) ทำให้นำรถผ่านอุปสรรคไปได้โดยไม่เกิดความเสียหายและทำเวลาได้ดี

เท่าที่มองด้วยสายตา การขับในรูปแบบออฟโรด จะยากหรือไม่ยากจะอยู่ที่ทักษะของตัวผู้ขับขี่มากกว่า จะใช้การมองในการเลือกไลน์ไปทางไหน จะควบคุมการรถไปได้มากขนาดไหน จะวางล้อลงในไลน์ไหนถึงจะไปได้ง่าย จะเดินคันเร่งระดับไหนไม่ให้รถกระตุก การจับพวงมาลัย การหมุนพวงมาลัยช่วยในการลุยไปในไลน์แบบไหน ซึ่งเรื่องพวกนี้ ต้องฝึกเอาเองครับ มันสอนกันยาก เมื่อเราขึ้นมาถึงด้านบน เราได้ดื่มด่ำกับทิวทัศน์ที่สวยงามของผาตัดในช่วงก่อนพระอาทิตย์ตกดิน..ที่เมื่อเห็นแล้วยอมรับว่าที่นี่สวยจริงๆ มาแล้วถึงจะรู้เองครับ เรื่องแบบนี้อธิบายคงไม่เห็นภาพ ส่วนขากลับยากเพิ่มขึ้นอีกนิดด้วยการที่เราต้องขับรถกลับลงมากับบรรยากาศสองข้างทางที่มืดสนิท ทำให้กลายเป็นการขับออฟโรดที่ได้ความสนุกไปอีกแบบ

ส่วนเส้นทางในวันที่สอง เราขับไปแวะชมความสวยงามของทุ่งหญ้าสะวันนาแห่งเมืองไทย อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง เส้นทางช่วงนี้แห้งมาก ก็จะดำฝุ่นกันซะส่วนใหญ่ การขับในเส้นทางแบบนี้ไม่ควรใช้ความเร็วมากนัก เพราะต้องระวังเรื่องการขับตามคันหน้าในขณะที่มีฝุ่นหนา เนื่องจากทัศนวิสัยไม่ดี ถ้าคันหน้าเบรก เราอาจจะไปชนท้ายคันหน้าได้

โดยรวมถือว่าเชฟโรเลต โคโลราโด กับเส้นทางแบบออฟโรดแบบนี้ ไม่ได้เป็นปัญหา ไม่ได้ลำบากกับการเดินทาง ต้องยอมรับว่าในเรื่องของสมรรถนะทั้งหมดไม่ได้เป็นรองค่ายไหนเลย จะว่าไปแล้วเชฟโรเลต โคโลราโด ในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ทั้ง 4 รุ่นที่ผลิตออกมาจำหน่ายในตอนนี้ "ซื้อได้" แบบคุ้มค่าคุ้มราคา และใช้งานได้หลากหลายตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคที่ชอบลุยได้แบบไม่ต้องคิดอะไรมาก ... บอกจริงๆ จากใจคนชอบออฟโรดเหมือนกัน

ขอบคุณ เชฟโรเลต ประเทศไทย อำนวยความสะดวกตลอดการเดินทาง