MG HS ให้ 3 คำ น่าใช้ เทคโนโลยีเพียบ คุ้มค่า
ตลาดรถประเภท SUV ยังคงมีความร้อนแรงต่อเนื่อง โดยเฉพาะ Compact SUV ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในตลาดรถยนต์บ้านเรา ค่ายรถยนต์ MG เป็นอีกค่ายที่ให้ความสนใจ รถในรูปแบบนี้ และสำหรับครั้งนี้เราได้รับเชิญให้มาทดสอบ MG HS เพื่อพิสูจน์ความ คุ้มค่า น่าใช้ และความทันสมัยของเทคโนโลยีรถยนต์ ที่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเซ็กเมนต์ที่แข่งกันอยางสนุก
ชื่อของ MG HS ถูกกล่าวขานในวงกว้าง สำหรับผู้ที่ต้องการเลือกหารถยนต์ที่ สามารถใช้งานในเมืองได้อย่างคล่องตัว พร้อมทั้งการเดินทางท่องเที่ยว ในต่างจังหวัด ลุยได้เล็กน้อย ซึ่งตัวเลือกของรถประเภทนี้มีให้เห็นมากมายหลายยี่ห้อ สำหรับ MG HS ที่เป็นน้องใหม่ในตลาดรถประเภทนี้งัดเอากลยุทธ์ที่น่าสนใจ พร้อมทั้งข้อเสนอพิเศษมากมาย โดยเฉพาะเรื่องของเทคโนโลยีใหม่ๆ ระบบความปลอดภัยที่สมบูรณ์แบบ ในราคาที่แสนจะจับต้องได้ง่าย มาเป็นตัวแปรสำคัญ ให้กับผู้บริโภคได้เลือกใช้ ที่เหลือก็คือ บทพิสูจน์ในเรื่องของการใช้งาน ซึ่งวันนี้เราได้ทำการทดสอบ MG HS แล้วมาเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังเพื่อให้ท่านที่กำลังมองหารถประเภทนี้นำไปประกอบการตัดสินใจ MG HS มีอะไรที่เร้าใจพอที่จะควักตังค์ซื้อบ้างไปดูพร้อมๆ กันเลยครับ



รูปลักษณ์ภายนอก กระจังหน้าดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ ตามแนวคิด Stella Magnetic Field ที่ได้แรงบันดาลใจ มาจากกลุ่มดาวบนท้องฟ้าที่ดึงดูดเข้าหากัน หลังโลโก้ MG มีเรดาห์สำหรับกะระยะ ทำงานร่วมกับกล้องที่อยู่ด้านบนของกระจกหน้า ซึ่งก็คือฟังก์ชั่นระบบควบคุมความเร็วแบบแปรผันมาให้ด้วย นอกจากนี้ยังมีระบบเตือนการชนด้านหน้า , ระบบเบรกอัตโนมัติมาให้อีกด้วย ในส่วนของไฟหน้าก็เป็นแบบ LED Projector พร้อมระบบเปิด-ปิดไฟหน้าแบบอัตโนมัติ และไฟหน้ายังสามารถปรับสูง-ต่ำแบบอัตโนมัติอีกด้วย เสริมด้วยไฟ Daytime Running Lights ด้านล่างสุดเป็นไฟตัดหมอก โดยรวมของด้านหน้า ถือว่าออฟชั่นครบ คุ้มราคา
ส่วนด้านข้างตัดด้วยคิ้วซุ้มล้อ และ ชายล่างสีดำด้าน รวมไปถึงการเล่นลวดลายของคิ้วโครเมี่ยมที่ชายล่างของประตู ช่วยเพิ่มความหรูหราไปอีกแบบ กระจกมองข้างสีเดียวกับตัวรถ มีไฟเลี้ยวในตัว ด้านล่างของกระจกมองข้างมีกล้อง ซึ่งก็จะได้ฟังก์ชั่นกล้องมุม 360 องศา เตือนมุมอับสายตาด้านข้างมาอีก ซึ่งคุ้มแน่นอน
สำหรับไฟท้ายแบบ Space Light Field ไฟเลี้ยวแบบ Sequential ที่ลำแสงจะวิ่งจากด้านในออกด้านนอก และก็ไม่ลืมที่จะบรรจุกล้องมองหลังมาให้อีกด้วย ส่วนล้อในรุ่น D และ X จะได้เป็นล้ออัลลอยด์ขนาด 18 นิ้ว และในรุ่น C ซึ่งเป็นรุ่นเริ่มต้น จะได้เป็นล้ออัลลอยด์ขนาด 17 นิ้ว


อย่างไรก็ตามสิ่งอำนวยความสะดวกใน MG HS นั้นก็ถือว่ามีมาให้อย่างครบครันไม่ว่าจะเป็นหน้าจอแสดงผลที่มาตรวัดแบบ Interactive Multimedia function Display ขนาด 7 นิ้ว ที่แสดงข้อมูลทั้งเรื่องของการขับขี่ระบบความปลอดภัย ความบันเทิงและระบบนำทาง พร้อมหน้าจอหลักแบบ Smart Touch Screen ขนาด 10 นิ้ว พวงมาลัยก็ยังคงเป็น multi function ใช้ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual Zone พร้อมช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง บริเวณพวงมาลัยและคอพวงมาลัยมีลูกเล่นที่คนขับจะต้องทำความคุ้นเคยทั้งในเรื่องของระบบความปลอดภัยต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันหรือ Adaptive Cruise control ซึ่งจะมีชุดควบคุม อยู่ที่ ก้าน บนคอพวงมาลัยตัวล่าง ส่วนก้านตัวบนจะเป็นสวิทช์ไฟเลี้ยว และปุ่มเปิดปิดระบบการทำงานของ ระบบ Lane Departure Warning
นอกจากนี้ยังมีระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าในขณะขับขี่ หรือที่เรียกว่า Forward collision warning ระบบช่วยควบคุมรถเมื่อรถออก นอกเลน Lane Departure prevention รวมไปถึงระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ Traffic Jam assist นอกจากนี้ยังเสริมเรื่องความปลอดภัยด้วยถุงลมนิรภัย 6 จุดและมุมมองของรอบตัวรถที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นด้วยกล้องมองภาพ 3 มิติ 3D Around View Monitor


ส่วนเรื่องของพละกำลังที่ใช้ ใต้ฝากระโปรง MG HS เป็นเครื่องยนต์ เบนซิน 1.5 ลิตร ที่มาพร้อมกับ ระบบอัดอากาศ ส่งกำลังไปยังล้อด้วยระบบ เกียร์ ที่เขาเรียกว่า TST Twin Crutch Sportronic Transmission แบบ 7 สปีด เรียกม้าออกมาใช้งานได้สูงสุดถึง 162 แรงม้าและแรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตรในรอบที่ต่ำเพียง 1700 รอบต่อนาที มีโหมดในการขับขี่ให้เลือกถึง 4 โหมด ก็คือ โหมด Normal สำหรับการขับขี่แบบปกติทั่วไป โหมด Eco เพื่อการขับขี่ที่ประหยัดน้ำมันมากยิ่งขึ้น โหมด Sport ซึ่งจะสามารถ ลากรอบให้สูงขึ้นมากกว่าเดิมปกติอีก เล็กน้อยเพื่อการขับขี่ที่สนุกสนานมากยิ่งขึ้น ส่วนโหมดสุดท้าย เป็นโหมด ที่เรียกว่า Custom สามารถเลือกรูปแบบการขับขี่ได้ตามต้องการ แต่สิ่งหนึ่งที่จะเพิ่มความสนุกสนาน ในการขับขี่ได้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิมก็คือ ใต้วงพวงมาลัยมีปุ่มสีแดง ซึ่งเป็นปุ่ม Supersport กลุ่มนี้จะช่วย เสริม พลังในการขับขี่ให้รถ ออกตัวเร่งแซง ได้แรงมากยิ่งขึ้น แน่นอนว่า ถ้าตั้งใจกดปุ่มนี้แล้วเรื่องอัตราการบริโภคน้ำมัน ไม่ต้องไปสนใจครับ เอามันส์อย่างเดียว


ในการใช้งานทั้ง 4 โหมด รวมทั้ง ปุ่ม Supersport นั้นถือว่าเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน การปรับจูนในช่วงจังหวะของการใช้งานในแต่ละแบบอย่างถูกต้อง ถือเป็นสิ่งที่การออกแบบที่เน้นตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ให้สามารถเลือกได้อย่างเหมาะสมกับการขับขี่ในสถานการณ์นั้นๆ
ในด้านของการบังคับควบคุม และ ประสิทธิภาพของช่วงล่าง ต้องยอมรับว่า MG HS สร้างความประทับใจ ในเรื่องของการซับแรงกระแทก และการยึดเกาะถนนในขณะเข้าโค้งได้ดี โดยช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบ แม็คเฟอร์สันสตรัท ส่วนช่วงล่างด้านหลังเป็นแบบ Multi Link
อย่างไรก็ตามพวงมาลัยไฟฟ้าที่ทำงานร่วมกับระบบช่วยควบคุมรถเมื่อรถออกนอกเลน อาจจะทำให้เรารู้สึกฝืนการควบคุมพวงมาลัยของเราได้เนื่องจากในการเข้าโค้งธรรมชาติของเราอาจจะมีการตัดโค้งเพื่อลดแรงเหวี่ยง แต่เมื่อระบบจับเลนซึ่งมีเส้นแบ่งถนนที่ชัดเจนได้ ระบบจะทำการขืนเพื่อรักษาแนวของรถให้อยู่ในเลน จึงทำให้มีความรู้สึกว่าพวงมาลัยหนักและขืนขณะที่เราเข้าโค้งได้ ขออนุญาติแนะนำว่าในช่วงที่เป็นทางโค้งหรือการขับขึ้นเขา ถ้าผู้ขับขี่ชินทางและมีสติในการควบคุมรถได้ดีอาจจะปิดระบบนีไปซักระยะหนึ่ง เมื่อถึงทางตรงก็สามารถเปิดใช้ระบบได้ ซึ่งจะช่วยในเรื่องของความปลอดภัยในขณะขับขี่ได้เป็นอย่างดี
ส่วนการทำงานของระบบ Adaptive Cruise control ทำงานแม่นยำดีแต่ยังขาดในเรื่องของความนุ่มนวลบ้าง โดยเฉพาะในช่วงที่ต้องเร่งตามคันหน้าคอมพิวเตอร์ที่ควบคุมคันเร่งสั่งการให้คิกดาวน์สวิทช์ทำงานง่ายเกินไปหน่อย ส่วนระบบเบรกยังคงเป็นเอกลักษณ์ของ MG คือต้องกดลึกกว่าปรกติหน่อย ทว่าอยู่และมีประสิทธิภาพดี
อีกสิ่งหนึ่งที่ถือว่าน่าสนใจสำหรับระบบที่ช่วยเตือนเมื่อเราปล่อยมือออกจากพวงมาลัยนานกว่าปกติ ระบบจะขึ้นเตือนที่หน้าจอให้เราทำการควบคุมพวงมาลัยหรือจับส่วนใดส่วนหนึ่งของพวงมาลัยระบบถึงจะเลิกเตือน ซึ่งก็ถือว่าช่วยในเรื่องของการขับขี่ที่อาจจะเกิดการ ง่วงนอน หรือหลับในได้

ว่ากันต่อในเรื่องของ Smart function ซึ่ง MG HS มาพร้อมระบบปฏิบัติการที่ยังคงเป็นเอกลักษณ์ของค่าย MG ก็คือ iSmart สิ่งที่ผ่านมาหลายคนอาจจะบ่นว่าการใช้งาน i-Smart ของ MG นั้นค่อนข้างยุ่งยากและซับซ้อน แต่สำหรับใน MG HS นี้มีการปรับเปลี่ยนฟังก์ชันการทำงานให้เข้าใจได้ง่ายมากยิ่งขึ้นรวมทั้งระบบสั่งการด้วยเสียงก็สามารถสั่งการได้ด้วยเสียงภาษาไทยไม่ว่าจะเป็นการโทรออกการควบคุมระบบเครื่องเสียงระบบปรับอากาศ เปิดปิดหน้าต่างฝั่งคนขับ และหลังคาซันรูฟ ซึ่งถือว่าใช้งานได้ง่ายมากยิ่งขึ้นกว่ารุ่นก่อนๆ


สรุปโดยรวม New MG HS ก็เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่น่าใช้งานนะครับ จากการทดสอบทั้งหมดที่ได้ลองสัมผัสมาด้วยตัวเอง ทั้งในเรื่องของสมรรถนะของเครื่องยนต์ ออปชั่นต่างๆ ที่เค้าให้มา รวมถึงเทคโนโลยีความปลอดภัยต่างๆ ถ้าเทียบกับราคา บอกได้คำเดียวว่า "คุ้ม" ส่วนเรื่องของศูนย์บริการ ตอนนี้มีอยู่ 110 แห่ง และกำลังจะเพิ่มขึ้นเป็น 140 แห่ง ในเร็วๆ นี้ ซึ่งก็ช่วยสร้างความมั่นใจได้มากพอสมควรเลยทีเดียว ส่วนเรื่องอะไหล่ ทาง MG แจ้งว่าตอนนี้มีสต๊อคของรุ่นนี้ไว้แล้วไม่ต้องรอนาน ...
ส่วนจุดที่ต้องบอกกันตรงๆ คือ สิ่งที่ผมไม่ค่อยประทับใจสักเท่าไหร่ของ MG HS ก็คือระบบเบรกครับ เบรกแล้วเหมือนจะไม่ค่อยอยู่ ต้องเหยียบลึกเข้าไปอีกนิดนึง คือน้ำหนักของแป้นเบรกขณะที่เราเหยียบมันก็ดูดเท้าดี แต่จังหวะที่เราคิดว่ามันจะต้องหยุดมันยังมีแอบไหลไปอีกนิดนึง หากใครไม่เคยขับรุ่นนี้มาก่อนแนะนำให้ขับช้าๆ แล้วเบรกให้ชินก่อนจะดีที่สุด


สำหรับราคาค่าตัวของ New MG HS
MG HS TURBO รุ่น C ราคา 9.19 แสนบาท
MG HS TURBO รุ่น D ราคา 1.019 ล้านบาท
MG HS TURBO รุ่น X ราคา 1.119 ล้านบาท
ขอบคุณ MG สำหรับการอำนวยความสะดวกในการทดลองขับครั้งนี้