ทดลองขับ MG HS PHEV ประหยัด คุ้มค่า ราคางาม
เปิดตัวไปแบบสุดว้าววว เมื่อค่ายรถแดนมังกรอย่าง เอ็มจี ก็ได้แสดงพลังมังกร ด้วยการวางจำหน่ายรถยนต์ hybrid เสียบปลั๊ก กับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ MG HS PHEV รถอเนกประสงค์ที่ต่อยอดจาก MH HS รุ่นปกติ พร้อมกับการเปิดราคาแบบสวยงามที่ 1,359,000 บาท
รถยนต์ใหม่ 2021 อย่าง MG HS PHEV เปิดตัวมาตั้งแต่ช่วงปลายเดือนตุลาคมปีก่อน แต่กว่าสื่อมวลชนจะได้ทดลองขับแบบจริงจัง ก็โดนลากข้ามมายันเดือน 2 ของปี 2564 แล้ว จากปัญหาการระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 ระลอกใหม่ ในที่สุดเราก็ได้สัมผัสกันแบบจริงจังเสียที
ก่อนออกทดลองขับ เรามาทำความรู้จักรายละเอียดของตัวรถกันก่อนเลยครับ โดยรถยนต์ใหม่ 2021 คันนี้ เป็นรถแบบอเนกประสงค์ SUV ไซส์ Compact มีมิติตัวรถเท่ากับ MG HS เป๊ะ นั่นคือ 4,574 x 1,876 x 1,664 มม. (ยาวxกว้างxสูง) ฐานล้อกว้าง 2,720 มม. ตัวท้องรถสูงจากพื้น 145 มม. จะต่างกันก็แค่น้ำหนักของตัวรถที่มีประมาณ 1,775 กิโลกรัม หนักกว่ารุ่นปกติที่มี 1,510 - 1,570 กิโลกรัม ก็เข้าใจได้เพราะต้องมีระบบ Hybrid กับแบตเตอรี่ Lithium-ion ขนาด 16.6 กิโลวัตต์ชั่วโมงเพิ่มขึ้นมาอีก
MG HS PHEV ใช้ขุมกำลังเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว Turbo TGI ให้กำลังได้สูงสุด 162 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร เสริมกำลังด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor ที่ให้กำลังได้ 122 แรงม้า แรงบิด 230 นิวตันเมตร และเมื่อนำกำลังมาผนวกกัน ทำให้รถใหม่คันนี้ผลิตพละกำลังรวมได้ 284 แรงม้า แรงบิด 480 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนส่งพลังสู่ล้อด้วยเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด โดยแบ่งเป็นการส่งกำลังเครื่องยนต์ 6 เกียร์ และระบบส่งกำลังให้มอเตอร์ไฟฟ้า 4 เกียร์ ซึ่งถือเป็นรูปแบบที่แปลกไปของรถประเภทใช้งานมอเตอร์ช่วยในการขับเคลื่อน เพราะส่วนใหญ่จะมีเป็น Single Speed แต่นี่มีการใส่อัตราทดเกียร์ให้มอเตอร์ไฟฟ้าด้วย ซึ่งถือว่าเป็นนวตกรรมการขับเคลื่อนที่เป็นค่ายแรกๆ ที่นำมาใช้ในประเทศไทย โดยทางเอ็มจีมีการเคลมเอาไว้ว่า สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 ได้ภายใน 7.5 วินาที มีค่าไอเสีย หรือคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำเพียง 36 กรัม / กิโลเมตร เท่านั้น และสามารถวิ่งด้วยโหมด EV หรือการใช้ไฟฟ้าล้วนได้ไกลสูงสุด 67 กิโลเมตร
ภายนอกของ MG HS PHEV นั้น ถอดแบบมาจาก MG HS แทบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นตะแกรงด้านหน้าเป็นแบบตาข่ายทรงขนมเปียกปูน เพิ่มความหรูด้วยเม็ดสีเงินช่วงเส้นตัด ชูหราด้วยตรา MG สีเงินตรงกลาง ไฟหน้าเป็นโคมแบบ LED Projector มีตัดขอบด้วยไฟ DRL (Daytime Running Lights) ที่เป็นไฟเลี้ยวได้ด้วย โดยไฟจะวิ่งแบบ Sequential แต่รุ่นนี้จะเจ๋งกว่าตรงไฟหน้าที่เปิด-ปิดได้อัตโนมัติ มีไฟตัดหมอกแบบ HID ที่กลางกันชนด้านข้าง ตัดขอบด้วยโครเมียม ส่วนไฟด้านท้าย แผงไฟเบรกเป็นการติดตั้งรวมทั้งบนตัวถังและฝาท้าย ใช้เป็นโคมแบบ LED เช่นกัน รวมทั้งไฟเลี้ยวก็เป็นแบบ Sequential มีไฟเบรกดวงที่สามแบบ LED กระจกมองข้างเป็นสีเดียวกับตัวรถ ตัดด้วยสีดำแถบด้านล่างเพิ่มความสปอร์ต พร้อมไฟเลี้ยวบนกระจกมองข้าง มีราวหลังคาสีเงินติดมาให้ ฝากระโปรงท้ายแบบไฟฟ้า ล้อที่ใส่มาเป็นขนาด 18 นิ้ว รัดมาด้วยยาง 235 / 50R18 พร้อมระบบดิสก์เบรกครบทั้ง 4 ล้อ ช่วงล่างด้านหน้าใช้เป็นแบบ แมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังเป็นแบบ อิสระ มัลติลิงก์ พร้อมเหล็กกันโคลง
ภายในของ MG HS PHEV จะมีมาให้เลือก 2 สี แบ่งตามสีภายนอก ถ้ารถเป็นสีดำหรือสีแดง ภายในจะเป็นสีดำทั้งหมด แต่ถ้ารถเป็นสีขาว ภายในจะเป็นสี 2-Tone ขาว – น้ำเงิน การออกแบบคอนโซลนั้นใกล้เคียงกับ MG HS ช่องแอร์ด้านคนขับและคนนั่งเป็นทรงกลม Turbo Jet แต่ตรงกลางเป็นทรงคล้ายปากยิ้ม หน้าจอกลาง เป็นหน้าจอสีระบบสัมผัสขนาด 10 นิ้ว ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่านบลูทูธ / ช่องเชื่อมต่อ USB รองรับการใช้งาน Apple CarPlay อลังการงานสร้างด้วยระบบเครื่องเสียง 8.1 จาก Bose Sound System สามารถสั่งการด้วยเสียงได้ผ่านระบบ iSmart สั่งการผ่านเสียงภาษาไทยได้ มีระบบ SMART CONNECT ที่มีทั้ง ระบบนำทาง Navigation พร้อมรายงานการจราจรแบบ Real Time, ระบบช่วยค้นหาร้านอาหาร และที่พักบนแผนที่นำทาง, ระบบเล่นเพลงออนไลน์แบบสตรีมมิ่ง, อัพเกรดระบบผ่านออนไลน์, ระบบเรียกดูข้อมูลข่าวสาร เหตุการณ์ปัจจุบัน, และ อัพเดทข้อมูลพยากรณ์อากาศ ผ่านสัญญาณโทรศัพท์ของ Truemove-H ใช้งานฟรี 5 ปี แอร์เป็นแบบอัตโนมัติ Dual Zone แยกความเย็นซ้าย-ขวา กรองอากาศ PM 2.5 ได้
เบาะหน้าของ MG HS PHEV มาด้วยเบาะหนังสังเคราะห์ แบบ Sport แนว Bucket Seat เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้าแบบ 6 ทิศทาง เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้าแบบ 4 ทิศทาง เป็นระบบผ่อนแรงแร็คแอนด์พิเนียน ควบคุมด้วยไฟฟ้า (EPS) พวงมาลัยหุ้มหนังทรงกลมท้ายตัดแบบ Sport ปรับระดับ 4 ทิศทาง มีปุ่ม Multi-Function ด้านซ้ายเอาไว้ควบคุมเครื่องเสียงและโทรศัพท์ ด้านขวาเอาไว้ควบคุมหน้าจอ แสดงผลอัจฉริยะขนาด 12 นิ้ว (Interactive Multi-function Display) ตัวนี้แหล่ะที่จะต่างกันกับตัวปกติ ที่ตัวเดิมมีแบ่งโซนหน้าจอเป็นดิจิตอลผสมแบบเข็มวัด แต่รอบนี้มาเป็นแบบ Full Digital เลย แสดงสถานะได้ทั้งความเร็ว, พลังงานที่ใช้, แบตเตอรี่คงเหลือ, Trip, น้ำมันคงเหลือ และอื่น ๆ อีกมากมาย เบาะนั่งด้านหลัง พนักพิงพับได้ 60:40ระบบกุญแจรีโมทอัจฉริยะ (Smart key) พร้อม Push Start มีโหมด Super Sport ให้กดเพิ่มความมันได้แบบสะดวกรวดเร็ว มีเบรกมือไฟฟ้าพร้อมระบบ Auto Hold
ระบบความปลอดภัยบน MG HS PHEV จัดมาให้เพียบตามสไตล์เอ็มจี มีทั้ง
- ถุงลมนิรภัย 6 จุด
- ระบบป้องกันล้อล็อก ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD
- ระบบเสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA (Electronic Brake Assist)
- ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC (Curve Brake Control)
- ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้งด้วยความเร็ว XDS (Electronic Differential System)
- ระบบควบคุมการทรงตัว SCS (Stability Control System)
- ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System)
- ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System)
- ระบบควบคุมความเร็วรถขณะลงทางลาดชัน HDC (Hill Descent Control System)
- ระบบป้องกันการลื่นไถลเมื่อเกียร์ลดต่ำอย่างฉับพลัน MSR (Motor Control Slide Retainer)
- ระบบลดความเสี่ยงที่จะทำให้พลิกคว่ำ ARP (Anti Rolling Program)
- ระบบสัญญาณไฟแจ้งเตือนเมื่อเบรกฉุกเฉิน ESS (Emergency Stop Signal)
- ไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่องยนต์ (Follow Me Home Light)
- ระบบควบความความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control)
- ระบบเปิด – ปิดไฟสูงอัตโนมัติ IHC (Intelligent High-beam Control)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning)
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning)
- ระบบช่วยควบคุมรถเมื่อรถออกนอกเลน LDP (Lane Departure Prevention)
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA (Lane keep Assist)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน LCA (Lane Change Assist)
- ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา BSD (Blind Spot Detection)
- ระบบช่วยเตือนขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert)
- ระบบช่วยเตือนการเปิดประตู DOW (Door Open Warning)
- ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitor System)
- ระบบล็อกประตูอัตโนมัติ (Speed Sensing Door Lock)
- กล้องมองภาพรอบทิศทาง
- สัญญาณเตือนระยะถอยหลัง
ท่านั่งของ MG HS PHEV นั้น เมื่อวางก้นลงบนเบาะแล้วเหมือนกลับมาได้ขับ MG HS อีกครั้ง ทุกอย่างเดิมหมดยกเว้นหน้าปัดบอกข้อมูลรถที่ทันสมัยกว่าเดิม ตัวเบาะกว้างพอดีที่จะนั่งได้สบาย เบาะเป็นทรง Sport เลยทำให้เบาะนั้นออกไปทางแข็งเล็กน้อยนั่งได้สบายไม่จม การจัดวางตำแหน่งของการใช้งานต่าง ๆ ก็ถือว่าทำได้อย่างดี มีปุ่มให้กดเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น อยากสั่งการมากกว่านี้ให้กดเข้าใช้งานในหน้าจอเอา สัมผัสแบบ Soft Touch เยอะมาก ทั้งตัวคอนโซลและแผงประตู วัสดุดูดีเกินราคา แถมมีหลังคา Sunroof แบบ Panoramic ยิ่งทำให้ตัวรถดูกว้างขึ้นไปอีก
เส้นทางช่วงแรกทางเอ็มจีต้องการให้ใช้โหมดไฟฟ้าล้วน แล้วลองใช้งานระบบ ควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist) สำหรับการขับขี่ในเมืองดู โดยระยะทางช่วงแรกจาก CDC ไปร้านกาแฟ NANA Hunter Coffee Roasters ระยะทางประมาณ 30 กว่ากิโลเมตร หลังจากเข้าสู่ถนนใหญ่ได้ ก็เริ่มใช้งานโหมด TJA โดยทันที ซึ่งระบบนี้จะทำงานในช่วงความเร็วต่ำ เหมาะกับระดับความเร็วในเมือง แต่ถ้าเร็วกว่า 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็จะเป็นหน้าที่การทำงานของ Adaptive Cruise Control แทน หลังจากเปิดระบบแล้ว ปล่อยให้รถทำหน้าที่ควบคุมคันเร่งและเบรกไปเองเลย ระบบจะทำหน้าที่ตัดสินใจเองว่าเมื่อไหรควรเบรกและเมื่อไหร่ควรกดคันเร่ง ถ้ารถหยุดเกิน 3 วินาที ระบบจะตัดการทำงาน เราก็ทำหน้าที่เหยียบเบรกเองสักครู่ เมื่อรถข้างหน้าเคลื่อนไป เราก็กดคันเร่งเพื่อให้ระบบทำงานใหม่ รถก็จะวิ่งให้เราเองเหมือนเดิมแล้ว ถ้ารถข้างหน้าค่อย ๆ เบรกก็ไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเริ่มีรถแทรกมาในช่องตรงกลางระหว่าคัน การแตะเบรกมันดูกระโชกโฮกฮากไปเล็กน้อย และเมื่อเจอเหตุแบบนี้บ่อยเข้า ก็อาจจะทำเอาเวียนหัวได้เหมือนกัน แต่ยังไงทั้ง 2 ระบบนี้ก็ถือว่าช่วยลดอาการเหน็ดเหนื่อยจากการขับรถในเมืองได้มากทีเดียว
หลังจากลองระบบ TJA แล้ว เรามาลองขับเองดูบ้าง ผมว่าโหมด EV บน MG HS PHEV มันก็ให้กำลังที่ดีทีเดียว แต่ไม่ถึงกับวิ่งได้ปรู๊ดปร้าด วิ่งออกตัวได้อย่างสุภาพ แต่ก็พอจะพารถวิ่งในโหมด EV ได้เร็วระดับ 140 กม./ชม. เลยทีเดียว จบเส้นทางในช่วงแรก ระยะทางคงเหลือให้ขับได้ต่ออีกประมาณ 23 กิโลเมตร สิ่งที่แปลกอย่างหนึ่งในการขับโหมดไฟฟ้านั้น เมื่อเรากดคันเร่งอย่างต่อเนื่อง ปกติเมื่อเราขับรถไฟฟ้า มันจะมีแรงอย่างต่อเนื่องจนไปหยุดที่ความเร็วระดับหนึ่งเลย แต่สำหรับคันนี้มันต่างไปเล็กน้อยตรงช่วง 60-70 กม./ชม. เราจะเจออาการ “วูบ” เหมือนเครื่องรอรอบแวบหนึ่ง ก่อนที่จะวิ่งเพิ่มความเร็วต่อเนื่องไปตามปกติ อาการนี้ตอนแรกคิดว่าตัวเองคิดไปเอง แต่เมื่อมาลองอีกครั้งก็เจออีก เลยเข้าใจว่าเป็นอาการของตัวรถ ได้สอบถามกับทางทีมงานเอ็มจีหลังจากทดสอบเสร็จแล้วถึงอาการนี้ ได้คำตอบมาว่า เป็นอาการเปลี่ยนเกียร์ของมอเตอร์ไฟฟ้า คาดว่าไม่น่าแก้ได้ในล็อตนี้ แต่ล็อตต่อไปน่าจะดีขึ้น ถ้าถามผมว่ามันทำให้มีผลกับการขับขี่ไหม ตอบได้เลยว่าไม่
อีกสิ่งหนึ่งที่รู้สึกขัดใจอีกอย่างบน MG HS PHEV และตัวอื่น ๆ ที่เอาก้านบังคับระบบ Adaptive Cruise Control มาวางเอาไว้ที่ด้านหลังพวงมาลัย ที่มันมองไม่เห็นเลย ต้องอาศัยการสัมผัสเท่านั้น โยกยังไงถึงจะเริ่มทำงาน สั่ง Restart ยังไง จะเพิ่ม-ลดความเร็วได้อย่างไร ถ้าคนไม่เคยใช้อาจจะต้องปรับตัวให้ชินแล้วค่อยใช้งาน
หลังจากพักแวะดื่มกาแฟดริปเรียบร้อย เราเดินทางต่อไปบนนถนนสาทร โดยช่วงนี้เราจะเปิดโหมด Auto กัน โดยโหมดนี้ระบบของตัวรถ MG HS PHEV จะทำการเลือกให้เราเองโดยอัตโนมัติ มันจะดูว่าช่วงนี้ควรใช้เครื่องยนต์หรือมอเตอร์ไฟฟ้า หรือจะใช้ไปคู่กัน จังหวะไหนควรชาร์จไฟ จังหวะไหนไม่ต้อง ระยะทางสั้น ๆ ครับประมาณ 16 กิโลเมตร ช่วงนี้เห็นได้เลยว่า เมื่อมีเครื่องยนต์เข้ามาช่วยในการขับเคลื่อน รถมันขับสนุกทันที เครื่องแทบจะมาช่วยทุกครั้งที่เรากดคันเร่ง โดยเฉพาะเมื่อเรากดคันเร่งแรง เครื่องยนต์จะส่งพลังลงล้อหน้าทันที แล้วเราจะรู้สึกถึงแรงม้าระดับ 2 ร้อยกว่าทันที ขนาดยังไม่ได้เปิดโหมด Super Sport ยังขับสนุกแล้วเลย แต่วันนี้เรามาเดินทางกันด้วยคอนเซปต์ “1 Day 1 Liter with MG HS PHEV” เราจึงต้องถนอมน้ำใจรถกันเล็กน้อย เลยไม่ได้กดมากสักเท่าไหร่
สิ่งที่เป็นความโดดเด่นของเอ็มจีในเกือบทุกรุ่น และยังคงมีอยู่บน MG HS PHEV คันนี้ ก็คือเรื่องการทรงตัวครับ ตลอดทางที่ขับกันวันนี้ รถยังคงทรงตัวได้อย่างยอดเยี่ยม ทุกโค้งที่เข้ามั่นใจได้หมด เข้าเบาเข้าแรง รถก็ยังทรงตัวได้อย่างดี ขับเร็วก็นิ่ง การเก็บเสียงก็ดี แต่สิ่งที่รู้สึกได้คือ มันมีความกระด้างมากกว่า MG HS รุ่นปกติอยู่เล็กน้อย ซึ่งก็ไม่น่าแปลก เพราะมันต้องถูกเซ็ตมาเพื่อให้รองรับน้ำหนักที่มากขึ้นจากน้ำหนักของแบตเตอรี่มี่มีมากขึ้นจากการวางตรงใต้เบาะหลัง รวมทั้งยังต้องเซ็ตให้รองรับกับพละกำลังที่มากขึ้นอีก แบบนี้ก็พอเข้าใจได้ แต่สุดท้ายมันก็ยังนุ่มหนึบอยู่ดีนะ เพียงแต่ว่ามันนุ่ม สุภาพ กว่าตัวปกติเท่านั้นเอง
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันกันจนอิ่มแล้ว และได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนข้อมูลกับคุณพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กันเล็กน้อย หลังจากนั้นเราก็เริ่มเดินทางกันต่อ โดยรอบนี้จะเดินทางไปยังจุดเริ่มต้นที่ CDC ระยะทางประมาณ 16 กิโลเมตร แต่หน้าจอตอนนี้ยังเหลือไฟให้วิ่งได้อีกประมาณ 9 กิโลเมตรเท่านั้นเอง เราก็จะวิ่งแบบไฟฟ้าให้หมด แล้วมาดูกันว่า รถจะจัดการหลังไฟฟ้าหมดอย่างไร หลังจากวิ่งไปได้ประมาณ 8 กิโลเมตร ท่ามกลางสภาวะรถติดประมาณหนึ่งเลย จากหน้าจอของ MG HS PHEV แจ้งว่าหมดแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งแบตหมดเหลือ 0% และระยะทางคงเหลือ 0 กิโลเมตร แต่รถยังวิ่งต่อในโหมดไฟฟ้าได้อีกเกือบ 1 กิโลเมตรได้ จากนั้นเครื่องก็ติดขึ้นมาทันที จากที่สังเกตุดูจากการทำงานของรถยนต์ผ่านทางหน้าจอ จะเห็นว่ารถเน้นที่จะทำการใช้กำลังเครื่องยนต์ไปที่ล้อมากกว่าการปั่นไฟกลับเข้าไปในแบตเตอรี่
อีกอย่างที่อยากพูดถึงคือ ชุดเครื่องเสียง Bose Sound System ระบบ 8.1 ที่มี Subwoofer มาให้พร้อมบน MG HS PHEV ถามว่ามันดีไหม มันดีครับ ดีมากกว่าของตัวปกติแน่นอน ให้เสียงกลางและสูงได้ชัดเจน เสียงเบสมาเต็ม แต่ถ้ามีเวลาปรับน่าจะดีกว่านี้ได้อีก แต่เบื้องต้นถ้าถามผมว่าดีไหม เต็ม 10 ผมให้ไปเลย 9
สรุปโดยรวมของ MG HS PHEV ..... บอกตรงๆ มองจากค่าตัวของ MG HS PHEV กับราคา 1,359,000 บาท แต่ได้รถ Hybrid เสียบปลั๊กที่มีแบตเตอรี่ใหญ่มากที่สุดในกลุ่มคือ 16.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง ได้ระบบความปลอดภัยครบ ได้รถที่ขับสนุก ขับได้สบาย ผมว่าเท่านี้ก็คุ้มค่ากับการใช้งานแล้วครับ ยิ่งถ้าคุณมีที่ทำงาน ไป/กลับ จากบ้านไม่เกิน 60 กิโลเมตร คุณสามารถขับรถไปกลับได้โดยไม่ต้องใช้น้ำมันเลยแม้แต่นิดเดียว จะหาความคุ้มค่ามากกว่านี้ได้จากที่ไหนกัน ผมว่า ณ. เวลานี้คงไม่มีตัวไหน เทียบตัวนี้ได้แล้วครับ ....