FORD RANGER FX4 MAX
เข้ามาภายในห้องโดยสาร จะเห็นการเปลี่ยนแปลงจากเรนเจอร์เดิมได้อย่างชัดเจน ตั้งแต่เบาะนั่งที่ใช้หนัง Alcantara และหนังสังเคราะห์กำมะหยี่ ปักโลโก้ FX4 Max ลายคาร์บอน โดยเบาะนั่งคนขับปรับตำแหน่งได้ 6 ทิศทาง และปรับเบาะนั่งผู้โดยสารได้ 4 ทิศทาง มองต่ำลงมาจะเห็นคันเร่งแบบสปอร์ต (เช่นเดียวกับ ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์) และชุดผ้ายางปูพื้นของ FX4 Max ทุกตำแหน่ง ส่วนรายละเอียดภายในห้องโดยสารอื่นๆ จะหุ้มด้วยหนังสีดำ ทั้งหน้าปัด ประตู พวงมาลัย รวมไปถึงแผงควบคุมด้านหน้า นอกจากนี้ยังมีออฟโรด สวิทช์แบงค์ (Upfitter Switch) พร้อมช่องต่อ AUX 6 ตำแหน่งอยู่เหนือหน้าจอสีแบบสัมผัส สำหรับการต่อพ่วงอุปกรณ์เพิ่มเติมที่จำเป็นสำหรับการเดินทางแบบออฟโรด ซึ่งสามารถต่อพ่วงอุปกรณ์พวกนี้เข้ากับชุดแผงฟิวส์ในห้องเครื่อง สะดวกตอบโจทย์ชาวออฟโรดแบบใช้งานได้จริง พร้อมกันนี้ในส่วนของ ไดชาร์จ ก็ได้เพิ่มขนาดมาใช้เป็น 250A เพื่อช่วยชาร์จไฟได้มากขึ้นรองรับการติดตั้งอุปกรณ์เสริมต่างๆ เข้าไปอีกด้วย
เรามาดูกันที่เรื่องสมรรถนะกันบ้าง สำหรับ FX4 Max เลือกใช้เครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.0 ลิตร พร้อมเทอร์โบคู่ ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ให้กำลังสูงสุด 213 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร พร้อมกับเปลี่ยนระบบช่วงล่างในส่วนของช็อคอัพมาใช้ของ FOX ซึ่งเป็นตัว Monotube 2.0 ที่มีสมรรถนะน้องๆ ช็อคอัพตัว 2.5 ที่ติดตั้งอยู่ใน ฟอร์ด แร็พเตอร์
เอาล่ะ!! หลังจากที่เราได้รู้สเปคกันไปแล้ว ก็มาเข้าสู่โหมดการทดสอบสมรรถนะออฟโรดของเจ้า FX4 Max ครั้งนี้กัน
สำหรับการทดสอบสมรรถนะครั้งนี้ ได้มีการแบ่งรูปแบบออกเป็นสถานี เพื่อให้ได้พิสูจน์สมรรถนะครบทุกฟังก์ชั่นที่อยู่ในตัว FX4 Max เริ่มกันที่สถานีแรก ด้วยการขับลงทางลาดชันด้วยเกียร์ต่ำ โดยใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (4L) พร้อมทดสอบระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขา (Hill Descent Control) ที่พารถลงเนินลาดชันได้อย่างปลอดภัยด้วยความเร็วคงที่ตามที่ตั้งไว้ ซึ่งก่อนจะเข้าเกียร์ 4L เราจะต้องเข้าเกียร์ว่างก่อน ไม่เช่นนั้น ตัวเกียร์จะไม่ยอมเข้าให้ เพื่อป้องกันความเสียหาย โดยสถานีนี้แม้ทางลงเขาจะสูงชัน แต่เจ้า FX4 Max ก็ได้โชว์สกิลระบบ Hill Descent Control ให้การลงเขาเป็นเรื่องง่าย พร้อมกับสามารถควบคุมความเร็วเวลาลงได้ด้วยปุ่มมัลติฟังก์ชั่น ที่อยู่บนด้านขวาของพวงมาลัย
ต่อเนื่องไปในสถานีที่ 2 ด้วยการปรับโหมดการขับขี่จากการขับเคลื่อน 4 ล้อ เป็นการขับขี่ 2 ล้อ แบบ Shift on the Fly เข้าสู่การสลาลมทางฝุ่น พร้อมใช้ระบบรักษาเสถียรภาพการทรงตัว (Electronic Stability Program หรือ ESP) และระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล (Traction Control) ที่มีอยู่ใน FX4 Max ซึ่งที่รับรู้ได้ครั้งนี้คือพวงมาลัยที่เป็นแบบไฟฟ้า EPS ให้ความนุ่มนวลและแม่นยำ พร้อมกับตัวยางออลเทอร์เรน KO2 จาก BF Goodrich ขนาด 265/70 R17 ก็ให้การยึดเกาะ รวมถึงการตะกุยดินได้เป็นอย่างดี อีกทั้งความแรงของพละกำลังเครื่องยนต์ที่ให้กำลังสูงสุด 213 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตร พร้อมกับที่ผมแอบปรับโหมดมาที่ Sport ยิ่งทำให้ขับสนุกยิ่งขึ้นไปใหญ่ แต่ถ้าจะให้สนุกมากกว่านี้ ถ้าปิด Traction Control น่าจะยิ่งสนุกมากขึ้นไปอีก แต่ในการทดสอบครั้งนี้ทางผู้ควบคุมไม่ได้ให้ลองปิด เลยได้แอบสนุกเพียงเท่านี้
มาสถานีที่ 3 ที่จะได้ทดสอบในเรื่องสมรรถนะช่วงล่าง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของรถคันนี้ ที่มาพร้อมระบบกันสะเทือน FOX Shocks แบบโมโนทิวบ์ขนาด 2 นิ้ว ด้านหน้า และด้านหลังจัดแบบซับแทงค์ เพิ่มเข้าไปให้ด้วย การพิชิตเส้นทางเนินสลับโดยการใช้โหมด 4L วิ่งผ่านเนินสลับซ้ายขวา พร้อมอวดการทำงานของ ระบบล็อกเฟืองท้าย (Locking rear differential) ใน FX4 Max ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขับผ่านอุปสรรคไปได้อย่างง่ายดาย ต่อด้วยสถานีที่ 4 การขับขี่บนเนินเอียงกับการปรับไปใช้โหมดเกียร์สูง 4H ให้ได้สัมผัสประสบการณ์ขับเคลื่อน 4 ล้ออย่างเต็มประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ด้วยระยะต่ำสุดจากพื้น (Ground clearance) ของฟอร์ด เรนเจอร์ FX4 Max ใหม่ ที่ยกสูงจากพื้นถนนมากถึง 256 มม. อีกทั้งยังยังมีมุมเงยและมุมจากที่ถูกยกระดับขึ้นจากรุ่น XLT เพื่อตอบสนองการทำงานของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อได้อย่างเต็มที่ ยังทำให้ผ่านอุปสรรคไปได้อย่างราบรื่นและมั่นคง
ต่อเนื่องไปสถานีที่ 5 เรายังได้ตะลุยไปกับเนินขึ้น-ลง โดยการขับเคลื่อน 4 ล้อ และตัวช่วยเฉพาะอย่างช็อคหลังที่มีซับแท้งค์ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซับแรงกระแทกขณะลงเนินที่มีความชันต่อเนื่อง ก่อนจะปิดการทดสอบออฟโรดด้วยการไต่ขึ้น และลงเนินสูงชันเป็นการปิดท้าย
นอกจากการทดสอบสมรรถนะออฟโรด ในครั้งนี้เรายังได้ลองขับในรูปแบบออนโรด ระยะทางสั้นๆ เพื่อให้ได้สัมผัสฟิลลิ่งของช่วงล่างที่มากับช็อคอัพ Fox MonoTube 2.0 ซึ่งต้องบอกว่าฟิลลิ่งที่สัมผัสได้คือความนุ่มนวล แต่หนึบแน่น แม้จะเป็นระยะทางเพียงไม่ยาวมากนัก แต่ก็สัมผัสได้ถึงประสิทธิภาพที่ดีของระบบช่วงล่าง
ซึ่งบทสรุปของเจ้า FX4 Max คันนี้ ถือเป็นการตอบโจทย์ของคนที่กำลังหารถกระบะสมรรถนะดี ที่ต้องการการใช้งานในแบบลุยในแบบออฟโรดเป็นหลัก เอาง่ายๆ WILDTRAK ออกจากโชว์รูม ไปขับหล่อๆได้เลย ลุยได้ประมาณนึง แต่ถ้า FX4 Max ออกจากโชว์รูม ก็ไปลุยออฟโรดได้เลย โดยที่ไม่ต้องไปอัพอะไรเพิ่ม สำหรับความคุ้มค่ากับค่าตัว 1,189,000 บาท FX4 Max คันนี้ มันคือกระบะสายลุย ที่คนชอบออฟโรดอยากได้ และ ผมเองก็อยากได้เช่นกัน
ขอบคุณ ฟอร์ด ประเทศไทย อำนวยความสะดวกในการทดสอบ