
วันพฤหัสบดีที่ 5 ตุลาคม 2560 : รณชิตได้รับชวนจากคุณตุ๊ก-พุทธชาด แสนสะสม บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ให้ไปร่วมกิจกรรมเพื่อระลึกถึงวันวาน เมื่อ 130 ปีก่อน ที่ความสัมพันธ์อันดีระหว่างชาวไทยและชาวญี่ปุ่น ได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการในรูปแบบทางการทูต เมื่อมีการลงนาม “หนังสือปฏิญญาว่าด้วยทางพระราชไมตรี และการค้าขายในระหว่างประเทศสยามกับญี่ปุ่น”

อันที่จริงความสัมพันธ์ดังกล่าว ได้เริ่มต้นตั้งแต่สมัยสุโขทัยเรื่อยมาจนกระทั่งสมัยอยุธยา และในโอกาสที่ความสัมพันธ์นี้ครบรอบ 130 ปี มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จึงได้จัดกิจกรรมคาราวานทดสอบรถยนต์ เพื่อร่วมกระชับความสัมพันธ์ดังกล่าว พร้อมให้รู้ประวัติศาสตร์ระหว่าง 2 ประเทศ และสัมผัสประสบการณ์การขับขี่กับ มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ใหม่ และ มิตซูบิชิ ไทรทัน ใหม่



คาราวานคราวนี้ก็ไปกันหลายคัน ออกจากกรุงเทพฯก็แถดแถแออัดไปตามเรื่องราวของการจราจร ไปผลัดกันขับที่ปั๊ม ปตท.นครชัยศรี โดยมีเวลาให้จิบกาแฟและซดนมตามสมควร จากนั้นก็ซัดกันโล่งๆ ผ่านบ้านโป่ง มุ่งไปทางกาญจน์ เลือกใช้อุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆได้ครบถ้วน ก่อนไปแวะมื้อเที่ยงที่ร้านกบทอด อำเภอท่าม่วง กาญนะจ๊ะบุรี โดยเมนูไพล็อตโปรเจ็คท์ก็คือกบทอดเนี่ยหละ ตามด้วยเนื้อปลาทอด ฉู่ฉี่ปลาคัง กระเพราเครื่องในไก่ แกงป่าหมูมะเขือ และอื่นๆที่อร่อยดีเป็นศรีแก่ปาก




หลังจากซาบซึ้งกับขากบทอดแล้ว ได้ไปแวะสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่วัดถ้ำเสือ บนเนินเขาในเขตตำบลม่วงชุม อำเภอท่าม่วงนั่นเอง สามารถนั่งรถรางโบกี้เล็กๆที่มีสายเคเบิ้ลลากขึ้นและหย่อนลง คนไทยไปกลับ 10 บาท ส่วนคนต่างบ้านต่างเมืองมาก็ 20 บาท รณชิตลองนั่งขึ้นไปก็รู้สึกจะเสียวชันสั่นสู้พอควร ขากลับจึงยอมขาดทุนครึ่งหนึ่ง อาสาเดินลงทางบันไดที่สูงชันลิ่วพอกัน แต่อย่างน้อยก็ยังมีขั่นลดหลั่นลงไป 157 ขั้น พร้อมราวจับที่ไว้ใจได้



บนเนินเขานั้นมีพระองค์ใหญ่ หน้าตัก 5 วา 3 ศอก 9 นิ้ว สูง 9 วา 9 นิ้ว ชื่อว่า หลวงพ่อชินประทานพร ก็กราบไหว้กันไปตามพลังแห่งศรัทธาท่าน แล้วรวมพลถวายสังฆทาน และแยกย้ายกันชมพระเจดีย์เกศแก้วมหาปราสาท ถ่ายรูปวิวเบื้องล่างผ่านทางช่องหน้าต่างได้รอบด้าน เพราะเป็นเจดีย์ 8 เหลี่ยม สูง 69 เมตร มีบันไดเวียนขึ้นถึง 9 ชั้น โดยด้านหน้าเป็นวิวเขื่อนแม่กลอง (กั้นลำน้ำแม่กลอง) ส่วนด้านหลังเป็นทุ่งนากับภูเขา


มื้อคั่นรายการวันนี้ แวะที่ร้าน Library Café ในเมืองกาญจนบุรี ภายในเปิดแอร์เย็นฉ่ำ แต่เปิดไฟสลัวแสงเหมือนคืนเดือนหงายไร้เมฆบัง มีผู้คนหนาแน่น ของที่เสิร์ฟก็มีกาแฟชื่อต่างๆ พร้อมขนมหน้าตาแปลกๆ คงเป็นอาหารของคนที่มีรสนิยมงามตาพอสมควร ส่วนรณชิตไม่กินทั้งกาแฟและขนม จึงสั่งนมเย็นมาหนึ่งแก้ว กินนมที่ไหนก็เป็นนมเช่นเคย จบข่าวเลยครับ



คราวนี้ก็เป็นอันสมประสงค์ของคาราวานทดสอบรถยนต์ คือการได้ไปชื่นชมความงามของจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะเมืองแห่งประวัติศาสตร์ จากนั้นก็ไปเยี่ยมชมสวนสันติภาพชินโตะ ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำแควใหญ่ เพื่อร่วมพิสูจน์ถึงความสัมพันธ์อันดีที่มีมาจนถึงทุกวันนี้

สวนสันติภาพชินโตะหรือสวนชินโตะ ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2538 ในโอกาสที่สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ยุติลงครบ 50 ปี เพื่อแสดงให้เห็นถึงความปรารถนาดีให้เกิดสันติภาพไปทั่วภูมิภาคเอเชียอย่างยั่งยืน นอกจากนั้น สวนชินโตะยังเป็นแหล่งเรียนรู้วัฒนธรรมและประเพณีของชาวญี่ปุ่นในสมัยก่อนอีกด้วย


บรรยายกาศภายในสวนชินโตะ ก็ราวกับได้ยกส่วนหนึ่งของประเทศญี่ปุ่นมาไว้ริมน้ำแควใหญ่ มีต้นไม้ร่มรื่น ตกแต่งสวนในสไตล์ญี่ปุ่น พร้อมซุ้มประตูและศาลเจ้าแบบญี่ปุ่นที่สร้างด้วยไม้ นอกจากนั้น ยังมีสิ่งของล้ำค่าในอดีตหลายชนิดจากประเทศญี่ปุ่น เช่น จานโบราณ เสื้อเกราะของนักรบ ชุดกิโมโน ตุ๊กตาแบบดั้งเดิม และหินแกะสลัก
ส่วนการทดสอบรถ ชาวคณะก็ได้ผลัดกันสัมผัสถึงพลังที่พอตัวใน มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ใหม่ และ มิตซูบิชิ ไทรทัน ใหม่ ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ MIVEC Clean Diesel ขนาด 2.4 ลิตร เสื้อสูบและฝาสูบอลูมินัมอัลลอย เบา แข็งแกร่ง มาพร้อมกับ VG Turbo และ Intercooler ให้กำลังสูงสุด 181 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร
กำลังทั้งหมดถ่ายทอดผ่านเกียร์อัตโนมัติ อยากได้สมรรถนะเต็มเหนี่ยวก็ขับด้วย Sport Mode ทั้งยังมี Paddle Shift ให้ผู้ขับขี่เปลี่ยนเกียร์ได้เองจากแป้นที่พวงมาลัย โดย มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ใหม่ มากับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดพร้อม INC (Idle Neutral Control) และ G-Sensor ส่วน
มิตซูบิชิ ไทรทัน ใหม่ มาพร้อมกับเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด



มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ใหม่ และ มิตซูบิชิ ไทรทัน ใหม่ มีอุปกรณ์ความปลอดภัยหลายรายการ
เช่น ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล ASTC ระบบเบรก ABS ระบบกระจายแรงเบรกแบบอิเล็กทรอนิก EBD และระบบเสริมแรงเบรก BA ให้ทุกสถานการณ์อยู่ภายใต้การควบคุม


อุปกรณ์เชิงป้องกันก่อนเกิดเหตุ ใน มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ใหม่ มีทั้งระบบล็อคความเร็วแบบแปรผันอัตโนมัติ ACC ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรงพร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว FCM และระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะเมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว UMS ส่วนเพิ่มเติมในรุ่นปี 2560 (ค.ศ.2017) ก็เช่น ระบบฉีดน้ำล้างไฟหน้า กล้องมองภาพรอบคันจากเห็นสีเงินสีเดียว ก็แสดงสีรถได้ทั้งสีขาว เทา น้ำตาล และดำ ประตูคนขับมีปุ่มเซ็นทรัลล็อก ปุ่มคุมกระจกไฟฟ้าที่ประตูคนขับเรืองแสงทั้งสี่บาน มีช่องจ่ายไฟ12 โวลต์ จากที่มีแค่ที่จุดบุหรี่ หมอนรองศรีษะเบาะแถวสอง จากที่มี 2 ตำแหน่งก็เพิ่มเป็นปรับได้ 3 ตำแหน่ง และมีเข็มขัดในเบาะแถวนี้ 3 ตำแหน่งด้วย ส่วนม่านถุงลมด้านข้างก็ยาวถึงเบาะแถวที่ 3 โน่นเลย
ข้างฝ่าย ไทรทัน ใหม่ ก็เปลี่ยนกระจังหน้าโครเมี่ยมเฉยๆเป็นรมดำ คิ้วล่างของโคมไฟหน้าก็รมดำ บันไดข้างยาวขึ้น 34 ซม.พนักพิงเบาะหลังมีหมอนแบบปรับได้ 3 ตำแหน่ง มีจุดยึดเบาะเด็ก 2 ตัวแหน่ง และระบบล็อกประตูอัตโนมัติเมื่อใช้ความเร็ว..ก็ไปลองขับดูได้ ที่โชว์รูมทั่วประเทศนะครับ
ค่ำคืนนี้ที่กาญนะจ๊ะบุรี ก็ได้เข้านอนที่ DHEVA MANTRA RESORT รณชิตอ่านว่า “เทวะมันตรา” นะครับ โดยมื้อเย็นออกไปทานที่ร้านคีรีมันตรา เมนูเด็ดคือน้ำพริกปลาป่น ข่าวว่าเป็นเจ้าของเดียวกันครับผม




ส่วนอีกกิจกรรมในวันถัดมา วันศุกร์ที่ 6 ตุลาคม 2560 : คือ การมอบจักรยานให้เด็กนักเรียนได้ใช้ประโยชน์ถึง 9 โรงเรียน จำนวน 100 คัน ณ บริเวณหน้าสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวสัดิภาพครู และบุคลากรทางการศึกษา จังหวัดกาญจนบุรี ตามโครงการ “ร้อยฝัน ปั่นจักรยานไปเรียน” โดยนักเรียนดังกล่าวอยู่ในโครงการกองทุนการศึกษา รัชกาลที่ 9 ซึ่งรณชิตเคยร่วมกิจกรรมมาต่อเนื่องสามจังหวัด คือ สระแก้ว ร้อยเอ็ด และกาญจนบุรี ดังกล่าว โดยที่ครูผู้สอน และเด็กนักเรียนที่มาเป็นตัวแทนรับมอบ ต่างก็ปลาบปลื้มกันทั่วหน้า.. รับรองเรื่องนี้ถึงหูครูอังคณาแน่!!
บ่ายนี้มุ่งหน้ากลับกรุงเทพฯที่เดิม โดยแวะมื้อเที่ยงที่ร้านลุงลอยป่าลั่น เมืองนครปฐม เมนูอร่อยเน้นไปทางปลา ประกอบกับในร้านนั้น “สระอุ” หายไปด้วย รณชิตจึงอ่านเอาเองว่า “ลงลอยป่าลั่น” ซึ่งก็อร่อยดีเช่นกันครับ เป็นร้านขึ้นชื่ออีกแห่งของนครปฐม