ปางอุ๋ง สวิตเซอร์แลนด์เมืองไทย ไปกับ โตโยต้า ยาริส แฮทช์แบ็ค
แม่ฮ่องสอน จังหวัดยอดฮิตที่คนนิยมไปท่องเที่ยว ไม่ว่าปีกาลไหนแม่ฮ่องสอนก็ยังมีสามหมอก โดยทุกอำเภอของแม่ฮ่องสอน คือ แม่สะเรียง ขุนยวม ปาย แม่ลาน้อย สบเมย และปางมะผ้า ต่างก็มีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ลงตัว วันนี้เราทีมงาน 4x4Special และ www.autocarspecial.com พาท่านผู้อ่านไปท่องเที่ยวแม่ฮ่องสอน ช่วงฤดูคาบหนาว-คาบร้อน ไปดูกันว่ามีที่ไหนน่าเที่ยวบ้าง
สำหรับการเดินทางในครั้งนี้ ไปกันด้วย โตโยต้า ยาริส แฮทช์แบ็ค รถยนต์อีโค่คาร์ในรูปแบบ 5 ประตู ที่เพิ่งเปลี่ยนโฉมไปได้ไม่นาน จะขับไปชื่นชมบรรยากาศความสวยงามของเมืองหมอก 3 ฤดู ให้เต็มที่ พร้อมพิสูจน์ว่ารถยนต์ในรูปแบบอีโค่คาร์ก็สามารถขับขึ้นเขาไปถึงแม่ฮ่องสอนได้สบายมาก
ทริปนี้ได้รับการตระเตรียมรถอย่างพร้อมสรรพจาก “ลุงเอก ลำตะคอง” และ “น้องกุ๊ก” ในทีมงานประชาสัมพันธ์ของโตโยต้า เพราะจุดหมายของเราคือแม่ฮ่องสอน อยู่ไกลออกไปจากกรุงเทพฯประมาณ 930 กิโลเมตร เราออกเดินทางกันในช่วงบ่าย เพื่อให้ไปถึงเชียงใหม่ในตอนดึก แวะพักผ่อนเล็กน้อย แล้วเดินทางต่อขึ้นไปถึงแม่ฮ่องสอนเช้าพอดี
การเดินทางก็ไปตามทางหลวงปกติ เข้าถนนสายเอเชีย อยุธยา/อ่างทอง/สิงห์บุรี /ชัยนาท/เลี่ยงเมืองนครสวรรค์/ผ่านกำแพงเพชรขึ้นไปจังหวัดตาก จริงๆแล้วสามารถแยกซ้ายไปทางอำเภอแม่สอด แล้วขึ้นไปแม่ฮ่องสอนได้ แต่ก็เป็นเวลาค่ำพอดี ถนนยังเป็น 2 เลนสวน ต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้น สู้ขับบนถนนสายเอเชียสบายใจกว่า ไปลำปาง/ลำพูน/เข้าเชียงใหม่ เบาะนั่งทั้งด้านหน้าและหลังก็ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย การเก็บเสียงภายในห้องโดยสารก็ออกแบบมาได้ดี
ในส่วนของเครื่องยนต์ DUAL VVT-i ขนาด 1.2 ลิตร กับเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i ที่ปรับจูนซอฟท์แวร์เกียร์ใหม่ แตกต่างจาก ยาริส เอทีฟ ที่เราเคยขับไปเชียงใหม่เมื่อปลายปีที่แล้ว โดยยาริส แฮทช์แบ็ค ตอบสนองได้กระฉับกระเฉงและว่องไวกว่า อัตราเร่งพอตัวสำหรับอีโค่คาร์ ซอฟท์แวร์ของเกียร์ CVT ใหม่นี้ช่วยให้ขับสนุกมากยิ่งขึ้น
เราลองจับอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง เริ่มต้นจากจุดสตาร์ทกรุงเทพฯ ไปถึงปั๊ม ปตท.ก่อนที่จะแยกเข้าอำเภอเถิน ระยะทาง 543 กิโลเมตร (ระยะมากกว่าตอนขับ ยาริส เอทีฟ เพราะจุดสตาร์ทคนละที่) ความเร็วในการเดินทางใช้ประมาณ 90-110 กิโลเมตร/ชั่วโมง คุมคันเร่งไปแบบสบายๆ เติมน้ำมันชดเชยกลับเข้าไป 28.8 ลิตร ได้อัตราสิ้นเปลือง 18.84 กิโลเมตร/ลิตร ซึ่งยาริส เอทีฟ ที่มาในเส้นทางเดียวกันทำได้ 20.04 โดยมีข้อจำกัดที่แตกต่างกันทั้งเรื่องเวลาในการเดินทาง และสภาพการจราจร แต่ก็ถือว่าประหยัดได้อย่างน่าประทับใจทั้งคู่
จากนั้นเส้นทางก็ขึ้นเขา มีทางชันและทางโค้งประกอบกันไป ความโดดเด่นของ ยาริส แฮทช์แบ็ค ที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็เป็นเรื่องของการปรับปรุงค่าการดูดซับของโช้คหน้าและหลัง พร้อมปรับค่าความแข็งของสปริงหลังให้เหมาะกับรถรูปแบบแฮทช์แบ็ค ปรับจุดยึดช่วงล่างด้านหลังกับตัวถังให้สัมพันธ์กับเหล็กกันโคลง เพื่อควบคุมช่วงล่างหลังให้นิ่งมากขึ้น ส่งผลให้การตอบสนองทำได้อย่างดี ให้ความรู้สึกสปอร์ตมากกว่า ยาริส เอทีฟ และมั่นใจในการเข้าโค้ง ลงตัวกับการปรับค่าความหนืดรวมหรือ Total Pre-Load ของชุดแร็คพวงมาลัยให้น้อยลง ช่วยผ่อนแรงหมุนพวงลัย เพิ่มความคล่องตัวเมื่อขับในที่คับแคบ
เราเดินทางมาถึงเชียงใหม่ ราวเที่ยงคืน แวะเติมน้ำมันที่ปั๊ม ปตท.แม่ริม-สะเมิง แล้วอาศัยงีบหลับพักสายตาด้วย ตื่นมาตอนตี 3 ล้างหน้าล้างตาก็สดใสเหมือนเดิม เราใช้ทางหลวงหมายเลข 1095 ขึ้นไปผ่านอำเภอปาย, ปางมะผ้า และเข้าสู่เมืองแม่ฮ่องสอน เป็นการขับขึ้นเขา และโค้งเยอะ การตอบสนองของ เครื่องยนต์ 1.2 ลิตร และเกียร์ Super CVT-i สามารถผ่านแต่ละโค้งได้อย่างสบายๆ บางโค้งที่หักศอกขึ้นเขาชันมาก เสียงของเครื่องยนต์ก็อาจดังเป็นพิเศษ แต่ไม่ถึงขนาดครางเหมือนจะไปต่อไม่ไหว เส้นทาง 240 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 4 ชั่วโมงครึ่ง ไม่ช้าและไม่เร็วเกินไป ผ่านมาได้แบบไม่ต้องเค้นเลยครับ
ในที่สุดก็มาถึงปางอุ๋ง ซึ่งมีชื่อเต็มว่า โครงการพระราชดำริปางตอง 2 (ปางอุ๋ง) เป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งในโครงการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อยู่ห่างจากตัวเมืองแม่ฮ่องสอน 44 กิโลเมตร เป็นสถานที่น่าเที่ยวช่วงฤดูหนาว ถูกขนานนามว่า สวิตเซอร์แลนด์เมืองไทย มีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่บนยอดเขาสูง ริมอ่างเป็นทิวสนที่ปลูกเรียงรายกัน คำว่า “ปาง” หมายถึงที่พักของคนทำงานในป่า ส่วน “อุ๋ง” เป็นภาษาเหนือหมายถึงที่ลุ่มต่ำ คล้ายกระทะใบใหญ่ ก็น่าจะหมายถึงที่พักริมอ่างเก็บน้ำนี่เอง ภาพอันสวยงามกับอากาศเย็นในยามเช้า มีแสงพระอาทิตย์สะท้อนผืนน้ำผ่านทิวสน และไอหมอกบางๆ ยิ่งเป็นภาพที่สร้างความประทับใจ
ที่ปางอุ๋ง กิจกรรมที่เจ๋งแจ๋ว คือ การนั่งแพชมทัศนียภาพโดยรอบ และไม่ควรพลาดที่จะไปชมสวนปางอุ๋งใกล้กับที่ทำการของโครงการพระราชดำริ ซึ่งมีพืชพรรณที่กลมกลืนกับสภาพภูมิประเทศบนที่สูง ทดแทนไร่ฝิ่นในสมัยก่อน
สงบใจที่ปางอุ๋งแล้วก็ออกเดินทางไปสักการะ วัดพระธาตุดอยกองมู สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำจังหวัดแม่ฮ่องสอน ตัววัดตั้งอยู่บนดอยกองมูทางทิศตะวันตกของตัวเมืองแม่ฮ่องสอน เดินทางโดยแยกจากทางหลวงหมายเลข 108 บริเวณอนุสาวรีย์พระยาสิงหนาทราชา ขึ้นไปทางซ้ายมือ เป็นทางลาดยางขึ้นภูเขาไปอีกประมาณ 1.5 กิโลเมตร ก็ถึงบริเวณวัด
วัดพระธาตุดอยกองมู เดิมมีชื่อเรียกว่า วัดปลายดอย ประกอบด้วยพระธาตุเจดีย์ที่สวยงาม 2 องค์ พระเจดีย์องค์ใหญ่สร้างโดย จองต่องสู่ เมื่อ พ.ศ.2403 บรรจุพระธาตุของพระโมคคัลลานะเถระ ซึ่งนำมาจากประเทศพม่า เป็นเจดีย์ทรงเครื่องแบบมอญ ประดับลวดลายปูนปั้น ส่วนพระธาตุเจดีย์องค์เล็กสร้างเมื่อ พ.ศ.2417 โดยพระยาสิงหนาทราชา เจ้าเมืองแม่ฮ่องสอนคนแรก เพื่อเป็นที่ระลึกในการขึ้นครองแม่ฮ่องสอน เป็นเจดีย์ทรงเครื่องแบบมอญ มีฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสซ้อนสามชั้น ประดับลวดลายปูนปั้นสวยงาม
บนวัดนี้นอกจากจะเป็นจุดชมทิวทัศน์ตัวเมืองแม่ฮ่องสอนจากมุมสูงที่สวยงามแล้ว ยังเป็นจุดชมทะเลหมอกในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาวที่งดงามมากที่สุดของย่านตัวเมือง
สำหรับที่พักของเราในคืนแรก ลีไวน์รักไทยรีสอร์ท ขับออกจากตัวเมืองแม่ฮ่องสอน ใช้ทางหลวงหมายเลข 1095 ย้อนกลับไปทางเดิม ถึงแยกบ้านกุงไม้สัก ซ้ายมือจะมีป้ายบอกทางไปบ้านรักไทย ให้เลี้ยวซ้ายไปอีก 36 กิโลเมตร ถึงบ้านรักไทยแล้วจะเห็น ลีไวน์รักไทยรีสอร์ท อยู่ซ้ายมือ รีสอร์ทนี้สร้างขึ้นจากแรงบันดาลใจที่ต้องการทำไร่ชาเก่าให้กลายเป็นบ้านพักกลางไร่ชา ในบรรยากาศคล้ายบ้านจีนยูนนาน แต่ละหลังแทรกตัวอยู่ในขั้นบันไดลดหลั่นกันลงมาเรื่อยๆ โดยรีสอร์ทใช้ดินสร้างบ้านเพื่อรักษาอุณหภูมิให้ผู้มาเยือนไม่หนาวมากในฤดูหนาว และไม่ร้อนมากในฤดูร้อน เป็นคุณสมบัติที่สุดแสนพิเศษของบ้านดิน
เรามาถึงลีไวน์รักไทยเวลาประมาณบ่าย 3 โมง ได้บ้านพักชื่อบ้านโบตั๋นอยู่หลังบนสุด ในห้องมีเตียงกว้างนอนสบาย แต่ไม่มีแอร์ ซึ่งก็ไม่จำเป็นต้องมี พอตกค่ำอากาศก็เย็นลงอย่างรวดเร็ว วันที่เราไปอุณหภูมิตอนสามทุ่มคือ 11 องศา เย็นเจี๊ยบ
สำหรับมื้อเย็น ห้องอาหารของรีสอร์ทก็แค่อีกฝากถนน อยู่หนองน้ำ บรรยากาศดี นั่งกินข้าว ดูท้องฟ้าสีสวยๆ ตอนตะวันกำลังลับฟ้า จานเด็ดคือ ขาหมูหมั่นโถว ราคา 380 บาท ซึ่งสูตรของทางร้านจะนำขาหมูมาทอดก่อนแล้วจึงนำไปตุ๋นในเครื่องเทศจีน ขาใหญ่มาก เนื้อเยอะ ส่วนหมั่นโถวให้มา 5 ลูกร้อนๆ ต้องรีบทานเพราะถ้าปล่อยให้เย็นแล้วจะไม่อร่อย น้ำจิ้มรสแซบสำหรับกินคู่กับขาหมูก็ลงตัว น้ำซุปของขาหมูจิ้มกับหมั่นโถวก็เป็นอีกความอร่อย สมทบด้วยต้มจืดหมูสับ ผักสมุนไพร ราคา 150 บาท อันนี้เอาไว้ซดน้ำคล่องคอ ให้หมูสับเยอะมาก มื้อนี้ค่าเสียหาย 530 บาท อิ่มท้อง หลับสบาย
ตื่นเช้าขึ้นมาพร้อมกับอากาศที่เย็น หมอกยามเช้าของจริงสวยกว่าในภาพ สำหรับมื้อเช้าต้อนรับอรุณเป็นข้าวต้มหมูกับหมั่นโถทอด ปาท่องโก๋จิ้มนมข้นหวาน พร้อมด้วยไฮไลท์คือ ชา ซึ่งยกมาให้เราชิมฟรี ไม่ต้องสั่ง ยกมาให้เป็นกาเลย มีทั้ง ชาโสม เป็นชาอู่หลงผสมโสม หอมอ่อนๆ อร่อยดี ชาหอมหมื่นลี้ เป็นชาอู่หลงที่เก็บในฤดูหนาวตอนเช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ผสมกับดอกชา กลิ่นหอม อันนี้ให้คะแนนเต็ม 10 เลย ดื่มแล้วสดชื่นมาก
ในเช้าวันที่สอง ได้ไปที่สะพานอธิษฐานสำเร็จ หรือสะพานซูตองเป้ ห่างจากตัวเมืองแม่ฮ่องสอน 10 กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข 1095 เลี้ยวซ้ายทางไปภูโคลนประมาณ 1.5 กิโลเมตร ถึงแยกเข้าหมู่บ้านให้ลอดซุ้มประตู เข้าไปทางขวามือตามถนนในหมู่บ้าน สามารถจอดรถไว้ที่วัดกุงไม้สัก จากนั้นก็เดินเข้าสู่สะพานซูตองเป้ เป็นสะพานไม้ไผ่ กว้าง 2 เมตร ยาว 600 เมตร สร้างขึ้นด้วยแรงศรัทธาของพระภิกษุ สามเณร และชาวบ้าน ใช้วัสดุในท้องถิ่น เสาจากไม้เก่าของชาวบ้าน ปูพื้นด้วยไม้ไผ่ ทอดยาวจากสวนธรรมภูสมะถึงหมู่บ้านกุงไม้สัก ผ่านลำน้ำแม่สะงา ผ่านทุ่งนาของชาวบ้าน เพื่อให้พระภิกษุสามเณรออกบิณฑบาต เป็นสะพานไม้แห่งศรัทธา คำว่า “ซูตองเป้” (Su-Tong-Pe) เป็นภาษาไทยใหญ่ แปลว่า อธิษฐานสำเร็จ สะพานแห่งนี้จึงเป็นเหมือนตัวแทนแห่งคำอธิษฐาน มีพระสงฆ์บิณฑบาตบนสะพานทุกเช้า และเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านที่นี่อีกด้วย
ถึงคราวอำลาแม่ฮ่องสอน ขากลับเราใช้เส้นทางผ่านแม่ลาน้อย ไปชิมกาแฟที่โครงการหลวงแม่ลาน้อย ซึ่งประสบความสำเร็จในการพัฒนาอาชีพและคุณภาพชีวิตของประชาชนบนพื้นที่สูง อีกหนึ่งสินค้าจากแม่ลาน้อย ที่โด่งดังคือ กาแฟบ้านห้วยห้อม ซึ่งมีจุดเริ่มต้นราวปี 2500 มิชชันนารีชาวอเมริกัน ชื่ออาจารย์อัดจ์ ที่เข้ามาสอนศาสนาประจำหมู่บ้าน ได้นำความรู้ทางการเกษตร และอาชีพอื่นๆ มาส่งเสริมให้มีรายได้พออยู่พอกิน เช่น กาแฟพันธุ์อาราบีก้า ซึ่งเป็นกาแฟพันธุ์ดีที่สุด (ในขณะนั้น) และมีนายพะโยเป็นผู้ปลูกคนแรก กาแฟห้วยห้อมเป็นกาแฟพันธุ์อาราบีก้า 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งปลูกโดยวิถีเกษตรอินทรีย์ ปัจจุบันนี้กาแฟสตาร์บัค สั่งซื้อเมล็ดกาแฟจากชาวบ้านห้วยห้อม เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตกาแฟเลยทีเดียว บ้านห้วยห้อม กาแฟห้วยห้อม จึงอยู่ในความสนใจของคอกาแฟอย่างยิ่ง
การเดินทางไปบ้านห้วยห้อม ค่อนข้างลำบากพอสมควร เป็นทางขึ้นเขาตลอดกว่า 40 กิโลเมตร แต่เมื่อขึ้นไปถึงแล้วก็หายเหนื่อย เพราะมีธรรมชาติที่ยังคงสภาพ และกลิ่นของกาแฟที่เย้ายวน เป็นกาแฟที่มีรสชาติและความหอม ที่คุ้มค่ากับการเดินทางมาจริงๆ
ปลายสุดของทริปนี้ เราหย่อนกายพักผ่อนลงที่ เฮินไต รีสอร์ท แม่ลาน้อย ที่ชีวิตสโลว์ไลฟ์กลางทุ่งนากว้างไกลที่รายล้อมด้วยหุบเขา จากถนนสายหลักเมื่อใกล้ถึงเฮินไต จะมีป้ายบอกทางเป็นระยะเข้าไปในซอยอีกนิดหน่อย บ้านพักมีหลายหลัง หลายแบบ เป็นห้องแอร์ทั้งหมด ทุกหลังมีวิวทุ่งนาแต่อาจมองเห็นในองศาที่แตกต่างกันบ้าง ยามเย็นเป็นช่วงเวลาที่สวยที่สุดของเฮินไต เพราะตั้งอยู่ในมุมที่มองเห็นพระอาทิตย์ตกได้พอดี
จบทริปไปแบบสบายใจและมีความสุข ได้สัมผัสอากาศหนาว ได้เห็นหมอก นาขั้นบันได ภูเขาสวยงาม ผู้คนจิตใจดี อาหารอร่อย ที่สำคัญคือ ความเข้มแข็งของคนในหมู่บ้าน มีอาชีพเและของดีเป็นของตัวเอง พึ่งพากันเอง มีความสามัคคี สามารถเลี้ยงตัวเองได้อย่างยั่งยืน ซึ่งหาได้ยากในสังคมปัจจุบัน
ขอบคุณ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เอื้อเฟื้อพาหนะ และแรงบันดาลใจในการออกไปใช้ชีวิต