กระแสแรง-รถโก้ TOYOTA C-HR
ลำปาง-น่าน 200 กว่ากิโลเมตร
เฉลี่ย 19.2 กิโลเมตร/ลิตร
วันที่ 19-20 มีนาคม 2561 : ฉัตรมงคล ได้รับชวนให้ไปทดลองขับซุปตาร์ แบบว่ากระแสแรง-รถโก้ นั่นคือ TOYOTA C-HR รถยนต์ในรูปแบบ คอมแพคเอสยูวี ที่ชื่อรุ่นย่อมาจาก Coupe High Rider ซึ่งออกแบบแพลตฟอร์มใหม่ TNGA หรือ Toyota New Global Architecture ใช้ระบบไฮบริดรุ่นล่าสุด เป็นเจนเนอเรชั่นที่ 4 ที่ใช้ในเก๋งพริอุสโฉมล่าสุด และติดตั้งระบบความปลอดภัย Safety Sense แบบเดียวกับคัมรี่ แล้วเติมเต็มด้วยการรับประกัน 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร และค่าแรงเช็คระยะฟรี 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร
คณะเราที่ไปทดลองขับครั้งนี้มี 20 กว่าคน ใช้เส้นทาง ลำปางไปถึงน่าน ระยะทาง 200 กว่ากิโลเมตร โดยนัดเจอกันเช้าที่สนามบินดอนเมือง และเดินทางโดยเครื่องใบพัด Q400 สายการบินนกแอร์ เพิ่งได้ระทึกใจไปชุมพร ก็ได้กลับมาระทึกใจไปลำปางอีกครั้ง แต่ฟากฟ้าทางเหนือเนียนผ่องกว่าเยอะ ตอนร่อนลงรู้สึกได้เลยว่านุ่มนวล โดยส่วนตัวคิดว่าความสามารถของกัปตันก็มีส่วน เพราะไม่มีกระแทก ไม่มีเป๋
ก่อนอื่นก็เข้าคอร์สสั้น ฟังบรรยายผลิตภัณฑ์และแนะนำเส้นทาง โดยคุณปรีชา โพธิ ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ และกิจกรรมสังคม บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ประสานมือกับ เอก ลำตะคอง หรือคุณสมบูรณ์ มูลหลวง เจ้าหน้าที่อาวุโสฝ่ายประชาสัมพันธ์ อธิบายเส้นทางกันแบบขำๆ ใช้ภาษาซาวนด์แทร็คพื้นเมืองบ้างพองาม เพื่อความสนุกสนานตามสไตล์ลุงเอก
ขับเพลินออกจากสนามบินลำปาง โดยมีจุดหมายแรกคือมื้อเที่ยงข้าวซอยเมืองแพร่ ระหว่างทางก็เพลินเกศาไปเรื่อย TOYOTA C-HR เข้ามาทำตลาดในเมืองไทยด้วย 4 รุ่นย่อย แบ่งเป็นเบนซินและไฮบริดอย่างละ 2 รุ่น ราคารุ่นเริ่มต้น 1.8 Entry 979,000 บาท และรุ่นสูงสุด HV Hi 1,159,000 บาท ต่างกันเพียง 180,000 บาท จึงไม่แปลกถ้าจะตัดสินใจซื้อรุ่นไฮบริด เพราะเพิ่มเงินไม่มากนัก แต่ได้อุปกรณ์มาตรฐานเพิ่มขึ้นอีกหลายเมนู
สำหรับระบบไฮบริด เจนเนอเรชั่นที่ 4 มีมอเตอร์ไฟฟ้าติดตั้งอยู่ในชุดเกียร์ ตัวมอเตอร์ขนาดใหญ่ขึ้นแต่กินไฟน้อยลง ทำงานได้ที่ความเร็วสูงขึ้นจาก 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเจนเนอเรชั่นที่ 3 เป็น 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับปริมาณไฟฟ้าในแบตเตอรี่และโหลด) ใช้ขดลวดแบบเหลี่ยมช่วยระบายความร้อน และสร้างกระแสไฟฟ้าได้ดีขึ้น แบตเตอรี่ติดตั้งใต้เบาะหลัง กระจายน้ำหนักดีขึ้น ระบายความร้อนด้วยพัดลมดูดอากาศเย็นจากห้องโดยสาร มาพร้อม Air Filter ที่สามารถถอดล้างเองได้ ช่วยยืดอายุแบตเตอรี่ รับประกันแบตเตอรี่ไฮบริด 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริด 5 ปี ในส่วนของเครื่องยนต์ก็มีการพัฒนาให้มีการระบายความร้อนที่ดีขึ้นเช่นกัน และปรับปรุงชุดเกียร์ E-CVT ให้มีขนาดเล็กลง
ขณะออกตัวจะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว จากนั้นเมื่อใช้ความเร็วคงที่ ทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าจะทำงานตามความเหมาะสม เมื่อเร่งความเร็วมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์จะช่วยกันขับเคลื่อนรถ และแบตเตอรี่จะจ่ายไฟฟ้าเต็มกำลัง เมื่อลดความเร็วหรือเบรกระบบจะชาร์จไฟฟ้ากลับเข้าไปเก็บในแบตเตอรี่ และเมื่อรถจอดสนิท เครื่องยนต์จะหยุดทำงาน ส่วนระบบไฟฟ้าและระบบปรับอากาศยังคงทำงานตามปกติ โดยใช้ไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ไฮบริด และเมื่อไฟฟ้าในแบตเตอรี่ไฮบริดต่ำลง เครื่องยนต์ก็จะทำงานโดยอัตโนมัติเพื่อชาร์จไฟกลับเข้าแบตเตอรี่
ในห้องโดยสาร โฉบเฉี่ยวสไตล์รถคูเป้ยกสูง จึงไม่เน้นการใช้งานเบาะหลังมากนัก แต่เท่าที่ลองใช้ก็ไม่ได้แคบจนรับไม่ได้ เพียงรู้สึกว่ามีมุมมองที่ไม่โปร่งโล่ง เพราะแนวเส้นขอบกระจกหลังที่ยกสูงขึ้นมา ทำให้ดูขอบประตูหนาเกินไปนิด เลยบดบังทัศนวิสัยด้านข้างของผู้โดยสารตอนหลังไปพอสมควร และไม่มีที่เท้าแขนตรงกลาง ส่วนมุมมองด้านหลังเมื่อมองจากตำแหน่งผู้ขับ มองเห็นได้เคลียร์ ชัดเจน ส่วนคุณภาพของวัสดุและการประกอบถือว่าสมราคา
ตลอดการเดินทางจะได้ยินเสียงแผ่วๆของพัดลมดูดอากาศเพื่อระบายความร้อนของแบตเตอรี่ไฮบริด ส่วนเสียงลมปะทะก็มีแผ่วๆที่ความเร็วประมาณ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป เบาะผู้ขับขี่นั่งสบาย ฝั่งผู้ขับปรับสูง-ต่ำได้ และมีที่ดันหลังไฟฟ้า พวงมาลัยปรับได้ 4 ทิศทาง ที่เก็บของด้านหลังกว้างเพราะไม่ต้องแบ่งพื้นที่ให้แบตเตอรี่ และไม่มียางอะไหล่ แต่ให้ชุดปะพร้อมปั๊มลมมาแทน พนักพิงเบาะหลังแยกพับได้ 60:40 แต่พับแล้วยังไม่ราบเป็นระดับเดียวกับพื้นห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง ตรงนี้ในบางความรู้สึกของผู้ใช้ อาจจะไม่ถูกใจนัก แต่โดยรวมก็ไม่ได้เป็นปัญหากับการใช้งาน
สำหรับการเดินทางในช่วงแรกเป็นถนน 4 เลน จึงได้ทดลองใช้ระบบครูสคอนโทรลของรุ่น HV Hi มาพร้อม Dynamic Radar Cruise Control ตรวจจับรถคันหน้าด้วยเรดาร์ เพื่อรักษาระยะห่างที่ปลอดภัย ตั้งได้ 3 ระดับ โดยจะลดความเร็วอัตโนมัติเพื่อรักษาระยะห่างจากรถด้านหน้า และเมื่อไม่มีรถด้านหน้าก็จะเร่งกลับไปยังความเร็วที่ตั้งไว้ ลองใช้งานแล้วระบบทำงานได้สอดคล้องกับการใช้งานจริง และเมื่อความเร็วลดลงถึงประมาณ 40 กิโลเมตร/ชั่วโมง ระบบจะตัดการทำงานพร้อมเสียงเตือน ผู้ขับต้องเบรกเอง
นอกจากนี้ยังมีระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ AHB หรือ Automatic High Beam ปรับลดไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติ, ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน พร้อมพวงมาลัยหน่วงอัตโนมัติ LDA with Steering Assist หรือ Lane Departure Alert เมื่อออกนอกเลนโดยไม่เปิดไฟเลี้ยว ระบบจะคิดว่าไม่ตั้งใจเปลี่ยนเลน ระบบจะเตือนที่หน้าจอ MID ด้วยสัญญาณไฟกะพริบและเสียงเตือน และพวงมาลัยจะหน่วงกลับให้เล็กน้อย เท่าที่ทดลองใช้พบว่าระบบจะตอบสนองได้ดีกับเส้นทึบมากกว่าเส้นประ
เมื่อผ่าน 50 กิโลเมตรไป ก็เริ่มเข้า 2 เลนสวน พร้อมเจอกับการซ่อมบำรุงทางประจำปีของทางภาคเหนือ ช่วงนี้เลยได้ใช้งานระบบความปลอดภัยหลายรายการ เช่น ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง BSM หรือ Blind Spot Monitor, ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ RCTA หรือ Rear Cross Traffic Alert, ระบบความปลอดภัยก่อนการชน PCS หรือ Pre-Collision System ถ้าระบบตรวจพบว่ามีความเสี่ยงต่อการชน สัญญาณจะเตือนก่อน ถ้าผู้ขับยังไม่ตอบสนองด้วยการเหยียบเบรก, ระบบ BA หรือ Brake Assist จะทำงานโดยเพิ่มแรงดันน้ำมันเบรกรอไว้ เมื่อผู้ขับเหยียบเบรก จะได้สร้างแรงเบรกได้ทันที และถ้าหลีกเลี่ยงการชนไม่ได้ ระบบเบรกจะทำงานอัตโนมัติ โดยจะเบรกลดความเร็วลงเหลือประมาณ 38 กิโลเมตร/ชั่วโมง ไม่เบรกจนรถหยุดนิ่ง เพื่อให้ผู้ขับตัดสินใจว่าจะเบรกต่อหรือจะหลบหลีกสิ่งกีดขวาง
ในส่วนของพละกำลังขับเคลื่อน ทุกรุ่นใช้เครื่องยนต์เบนซิน 1,800 ซีซี.พื้นฐานเดียวกับอัลติส โดยรุ่นไฮบริดเป็นแบบ Atkinson Cycle กำลังอัด 13.0:1 เฉพาะเครื่องยนต์มีกำลังสูงสุด 98 แรงม้า ที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 14.5 กก.-ม.ที่ 3,600 รอบ/นาที มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 53 กิโลวัตต์ แรงบิด 16.6 กก.-ม.กำลังขับรวมมอเตอร์ไฟฟ้า 122 แรงม้า ส่งผ่านเกียร์อัตโนมัติ E-CVT
จากความเร็วต่ำถึงปานกลาง รวมถึงการเพิ่มความเร็วแบบต่อเนื่องไปถึงความเร็วที่ค่อนข้างสูง อัตราเร่งแซงและการตอบสนองของเครื่องยนต์ทำได้ต่อเนื่องน่าพอใจ ช่วงขึ้นเขาคดเคี้ยว มีการเร่งแซงบ่อยครั้ง ลองใช้ทั้ง 3 โหมดการขับ คือ Sport, Normal และ Eco แตกต่างในเรื่องการตอบสนองของคันเร่ง Sport แตะคันเร่งเบาๆ เข็มมาตรวัดระบบไฮบริดก็จะกวาดไปที่ Power ส่วนโหมด Eco คันเร่งจะตอบสนองแบบนุ่มนวล
บางช่วงขับความเร็วนิ่งๆ ประมาณ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภาพกราฟิกแสดงการทำงานของระบบไฮบริดว่า ขณะนั้นใช้ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวในการขับเคลื่อนรถ ส่วนโหมด EV ซึ่งมีสวิตช์เปิดการทำงานที่คอนโซลเกียร์ จะทำงานถึงความเร็วประมาณ 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง มองดูอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยอยู่ที่ 19.2 กิโลเมตร/ลิตร นับว่าประหยัดเกินคาดไปมาก เพราะเส้นทางทดลองขับในวันนี้ ใส่กันแบบเต็มเหนี่ยว ความเร็วเดินทางอยู่ที่ 120 ซะเป็นส่วนใหญ่ แต่มีที่เกินคาดกว่าคือมีเพื่อนสื่อมวลชนบางคนสามารถทำได้ถึง 25 กิโลเมตร/ลิตร
สำหรับระบบกันสะเทือน เป็นแบบอิสระพร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหน้าแม็กเฟอร์สันสตรัท ด้านหลังปีกนก 2 ชั้น พร้อมตัวช่วยอย่าง VSC และ TRC ปรับเซ็ทมาในแนวนุ่มหนึบ ไม่กระด้าง เข้าโค้งแคบๆการตอบสนองดี มั่นใจ จังหวะการยืด/ยุบ ทำงานได้สัมพันธ์กับความเร็ว และดูดซับแรงกระแทกได้ดี พวงมาลัยหนืดมือพอเหมาะ ไม่เบาจนน่าตกใจเมื่อเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง ยางที่ให้ติดตัวมาเป็น Dunlop ENASAVE EC300 ขนาด 215/60/17 ถือว่ารับได้
ระบบเบรกเป็นดิสก์ 4 ล้อ น้ำหนักนุ่มนวล แต่ต้องทำความเข้าใจเล็กน้อย คือ แตะเบรกช่วงแรกความเร็วยังไม่ลดลงอย่างที่คิด เมื่อเพิ่มน้ำหนักลงไปอีกจึงจะมีความรู้สึกดูดเท้าขึ้นมา ปรับตัวไม่นานก็สามารถทำความเข้าใจได้ครับ
สรุป..คุ้มค่ากับราคาที่จ่าย เพราะอะไรบ้าง ข้อ1.ให้อุปกรณ์มาตรฐานที่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับส่วนต่างของราคา (ส่วนในรุ่นย่อยอื่นๆอันนี้ต้องแล้วแต่ตัวผู้ซื้อว่าจะพึงพอใจขนาดไหน) ข้อ2.รูปลักษณ์ภายนอกโฉบเฉี่ยวสะดุดตา ภายในลงตัวทั้งดีไซน์และคุณภาพวัสดุ ข้อ3.สมรรถนะของเครื่องยนต์ให้ความคล่องตัว ตอบสนองได้ดี เน้นความประหยัดเป็นหลัก ข้อ4.ช่วงล่างที่แตกต่าง จากคู่แข่งในตลาด และปรับเซ็ทมาอย่างลงตัว นุ่มหนึบ ตอบสนองการใช้งานได้ในหลากหลายรูปแบบ ข้อที่5.อ่านบทความนี้จบแล้ว ต้องออกไปทดลองด้วยตัวเองครับ แล้วจะรู้ว่าที่ผมพูดมามันเป็นเรื่องจริง..
ขอบคุณ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด อำนวยความสะดวกตลอดการทดลองขับขี่