ช่วงนี้เริ่มที่จะเข้าหน้าฝนแล้ว กระแสลมและความชุ่มชื้นของหน้าฝนคงจะเข้าสู่ เมืองอุดรธานี แล้วสินะ... เห็นว่าในช่วงหน้าฝน การท่องเที่ยวในแถบภาคอีสานจะสวยงามเขียวชะอุ่มไปทั่ว ที่สำคัญคือ ความสวยงามทั้งเรื่องของบ้านเมือง ผู้คน และวัฒนธรรม ที่งามขนาด... งามกะด้อกะเดี้ย...งามอีหลี จะงามขนาดไหน เดี๋ยวค่อยๆเลื่อนดู เลื่อนอ่าน ไปเรื่อยๆ ก็แล้วกันนะครับ

• Toyota Fortuner 2.4V 4WD Sigma4 ที่ใช้ลุยไปกับเราตลอดการเดินทาง

พอพูดถึงอุดรฯ ก็นึกถึงความงดงามของธรรมชาติ ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน รวมทั้งวัฒนธรรมและวิถีหัตถศิลป์ ภูมิปัญญาของชาวบ้าน ตรงนี้แหละ ที่เราเรียกกันว่าการท่องเที่ยวแบบอนุรักษ์

สำหรับการเดินทางของเราในครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากทางบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด โดยคุณปรีชา โพธิ ผู้อำนวยการฝ่าย ประชาสัมพันธ์และกิจกรรมสังคม และพี่เอก ลำตะคอง กับ น้องกุ๊ก ที่จัดการดูแลเรื่องพาหนะในการเดินทาง Toyota Fortuner 2.4V 4WD Sigma4 ที่ใช้ลุยไปกับเราตลอดการเดินทาง

• หน้าทางเข้าถูกจัดระเบียบเพื่อความสะดวกเรียบร้อย

สำหรับ Toyota Fortuner 2.4V 4WD Sigma4 นี้เป็นรุ่นที่ทางโตโยต้าปล่อยออกมาเพื่อเป็นตัวเลือกให้กับลูกค้าที่ไม่ต้องการเครื่องยนต์ใหญ่ขนาด 2.8 ลิตร และราคาค่าตัวที่ถูกกว่าเกือบ 2 แสน สามารถเลือกซื้อรุ่นนี้เพื่อเอาไปใช้งานขับชิวบ้างขับลุยบ้างได้อย่างลงตัว แถมยังมีการยกเครื่องเบรกหลังกันใหม่ยกชุด จากเดิมที่เป็นดรัมเบรก ก็จัดการเปลี่ยนให้เป็นดิสก์เบรก 4 ล้อ ทุกรุ่นทุกราคาซะเลย  สำหรับคันที่เราได้รับมาในครั้งนี้เป็นรุ่นสูงสุดสำหรับเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร กับราคา 1,499,000 บาท 

• ศาลพญานาคราชปู่ศรีสุทโธและองค์แม่ศรีปทุมมานาคราชเทวี

สำหรับเส้นทางของเราในวันนี้เราจัดการวางแผนการเดินทางเอาไว้เรียบร้อย เราตั้งใจที่จะขึ้นไปกราบสักการะพญานาคที่คำชะโนดกันก่อน แล้วค่อยลงมาท่องเที่ยวแบบเชิงอนุรักษ์ที่บ้านเชียง สุดท้ายก็เข้าตัวเมืองไปจิบโคตรกาแฟจากเอธิโอเปียที่ Dose Espresso แล้วก็ไป ... กินฟรี ... ที่ร้าน Little Pine Tree เราเลือกที่จะออกเดินทางกันตอนกลางคืนเหมือนเดิม เพราะขับสบาย อากาศไม่ร้อน เราเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปตามทางหลวงหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธิน) ถึงสระบุรีแล้วเลี้ยวขวา เข้าถนนมิตรภาพ มุ่งหน้าเข้าสู่ จ.นครราชสีมา ผ่านนครราชสีมา เส้นทางช่วงนี้ขับไปแบบสบายๆ ใช้ความเร็วเดินทางอยู่ที่ 100-110 กม./ชม. รอบเครื่องยนต์อยู่ที่ประมาณ 1,750 รอบต่อนาที กำลังเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร กับแรงม้า 150 ตัว แรงบิดระดับ 400 นิวตันเมตร สามารถพาตัวรถวิ่งทะยานไปข้างหน้าได้แบบลอยๆ ไม่อืด และไม่กระโชกโฮกฮาก เน้นการขับใช้งานนะครับ ไม่รีบ ... 

• ต้นไทรขนาดใหญ่ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่อีกด้านหนึ่งของศาลเจ้าปู่ศรีสุทโธ

เส้นทางนี้ถือว่าเป็นเส้นทางมาตรฐาน ถนนใหญ่ สาธารณูปโภคพร้อม ปั๊มน้ำมันรายทางมีให้เลือกมากมาย จึงกลายเป็นเส้นทางที่ทุกคนนิยมใช้ ระหว่างทางรถบรรทุกเยอะหน่อย มีจุดรถติดคอขวดอยู่ 2 จุดใหญ่ๆ คือ อ.เมือง สระบุรี ที่จะต้องเลี้ยวขวาขึ้นสะพานไปทาง จ.นครราชสีมา และอีกจุดหนึ่งคือ ช่วงขึ้นเขาบริเวณ อ.มวกเหล็ก หน้าโรงปูนแก่งคอย ซึ่งรถบรรทุกจะอัดแน่นกันเต็มทั้ง 4 เลน ตรงจุดนี้ต้องอาศัยความสามารถและสันดานเฉพาะตัว เพื่อที่จะผ่านไปให้ได้ ไม่ต้องไปบีบแตร ไม่ต้องไปส่องไฟสูงใส่ให้เมื่อยมือครับ ... พวกเค้าทั้งหลายไม่มีทางหลบให้แน่นอน  

• สรงน้ำรูปปั้นพญานาค และนำน้ำใส่ขวด เพื่อเก็บกลับไปสักการะ

 

• เส้นทางพญานาคที่ทอดยาวเข้าไปด้านใน

เราแวะเข้าปั๊มกันตรงช่วงเลี่ยงเมืองนครราชสีมา ระยะทางช่วงแรกประมาณ 200 กว่ากม. กดปุ่ม ECO MODE มาตลอดทาง การทำงานของเครื่องยนต์ก็ปกติ ไม่ได้อืดมากนัก มีบางช่วงตอนแซงรถใหญ่ตรงโรงปูนต้องการพละกำลังก็กดปุ่ม POWER MODE ซึ่งก็ได้การตอบสนองที่ดีขึ้นอยู่พอสมควร หลังจากเข้าห้องน้ำผ่อนคลายเสร็จ เราก็ตรงขึ้นไปทางขอนแก่นเลี้ยวออกซ้ายเลี่ยงเมืองขอนแก่นซะหน่อย เสร็จแล้วก็ตรงมาเลี้ยวขวาที่เส้นทางหลวง 2023 ออกไปทางอำเภอกุมภวาปี เลี้ยวซ้ายอีกครั้งที่เส้น 2350 และมุ่งหน้าไปจับเส้น 2096 เพื่อขึ้นไปทางอำเภอบ้านดุง  สำหรับเส้นทางช่วงนี้เป็นแบบ 2 เลนสวนกัน แต่ก็ขับสบายมากขึ้นกว่าเดิม เพราะรถน้อยมากๆ สำหรับความโดดเด่นอีกจุดหนึ่งของรุ่นนี้ก็คือ การใช้ดิสก์เบรกแบบมีครีบระบายความร้อนครบทั้ง 4 ล้อ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างครบถ้วน ส่วนระบบความปลอดภัยก็ยังมีอย่างครบครันเช่นเคย ทั้ง ABS, EBD, BA, VSC, TRC, TSC, HAC, DAC เรียกว่าจ่ายเงินซื้อคันนี้คันเดียวก็คุ้มค่าทุกการใช้งานแล้ว...  

• ข้าวเหนียวจี่ กับหมูย่าง ของอร่อยยามเช้า

 

• แวะเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ อ. บ้านเชียง

หลังจากขับมาอีกสักพัก เราไปจอดแวะปั๊มอีกครั้งที่ ปตท. อำเภอบ้านดุง เป็นปั๊มใหม่ เพิ่งสร้างเสร็จไม่นาน แวะพักผ่อนนอนเอาแรงซัก 2 ชั่วโมง ตื่นประมาณ 6 โมงเช้าแล้วก็ค่อยเดินทางเข้าคำชะโนด เราแวะเติมน้ำมันเพื่อเช็คอัตราการสิ้นเปลืองที่ปั๊มนี้ จากระยะทางการเดินทางมาจากกรุงเทพทั้งหมด 631 กม. เติมดีเซลชดเชยกลับเข้าไป 41.32 ลิตร คำนวณอัตราการสิ้นเปลืองออกมาได้ 15.27 กม./ลิตร ถือว่าเป็นตัวเลขการประหยัดน้ำมันที่สวยงามทีเดียว 

• หลุมขุดค้นที่ 1 วัดโพธิ์ศรีใน

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเราก็ออกเดินทางต่อไปอีกประมาณ 20 กม. เราก็จะถึง คำชะโนด หรือ ป่าคำชะโนด ซึ่งตั้งอยู่ภายในพื้นที่วัดศิริสุทโธคำชะโนด เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านทั้งในจังหวัดอุดรธานีและใกล้เคียงให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก ด้วยเป็นวัดที่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นที่อยู่ของพญานาคและเป็นทางเชื่อมต่อเมืองบาดาล ปกครองรักษาโดยพญานาคราชปู่ศรีสุทโธและองค์แม่ศรีปทุมมานาคราชเทวี และปกคลุมด้วยผืนป่าคำชะโนดขนาดใหญ่อยู่ทั่วบริเวณ แต่ละต้นล้วนมีอายุยาวนาน ซึ่งในประเทศไทยมีต้นคำชะโนดแบบนี้เพียงที่เดียวเท่านั้น 

• เครื่องปั้นดินเผาและหลุมฝังศพ

 

• เครื่องปั้นดินเผาที่มีคุณค่ากับประวัติศาสตร์

เข้ามาในวัดมีที่จอดรถมากมาย สามารถรองรับได้เป็นพันคัน เข้ามาด้านในของป่าคำชะโนด ตรงบริเวณศาลเจ้าปูศรีสุทโธ เราจะเห็นผู้คนจากทั่วทุกสารทิศ ต่างเดินทางเข้ามากราบไหว้กันไม่ขาดสาย โดยอีกด้านหนึ่งของศาลเจ้าปู่ศรีสุทโธ นักท่องเที่ยวจะเห็นรากต้นไทรขนาดใหญ่ ที่ชาวบ้านนิยมเข้ามากราบไหว้บูชาด้วยเช่นเดียวกัน ถ้าเดินมาทางซ้ายเราก็จะเจอกับ "บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์" หรือ "บ่อคำชะโนด" ที่ตั้งอยู่กลางเกาะ มีลักษณะเป็นน้ำใต้ดินพุ่งไหลอยู่ตลอดเวลา และไม่เคยลดแห้งลงเลย ระดับน้ำอยู่แค่ไหน ก็จะอยู่ระดับนั้นไม่เปลี่ยน (มีความเชื่อกันว่าเป็นประตูเชื่อมไปสู่เมืองบาดาล ที่อยู่อาศัยของพญาศรีสุทโธนาค) ทั้งยังเป็นจุดที่คนนิยมเข้ามาสรงน้ำรูปปั้นพญานาค และประชาชนส่วนใหญ่ยังนำน้ำใส่ขวด เพื่อเก็บกลับไปสักการะ เพราะเชื่อว่าเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต

• เครื่องใช้ดินเผาอายุนับพันปี

 

• การขุดค้นซากกระดูกโบราณ

หลังจากสักการะพญานาคที่คำชะโนดเรียบร้อย เราก็เดินทางต่อไปท่องเที่ยวแบบเชิงอนุรักษ์ที่ อ.บ้านเชียง ไปชมวิถีชีวิตของชาวไทพวนกัน การเดินทางก็ไม่ไกล ห่างจาก อ. บ้านดุงแค่ 40 กม. เท่านั้น ขับรถครึ่งชั่วโมงก็ถึง...

• ชิ้นส่วนเครื่องประดับและมีด

 

• จำลองการขุดค้นซากโครงกระดูก

อ. บ้านเชียง ถือได้ว่าเป็นหมู่บ้านแห่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมที่บอกเล่าถึงอารยธรรมของผู้คนในดินแดนประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากว่า 5,600 ปีมาแล้ว ... ชาวบ้านเชียงในปัจจุบันเป็นกลุ่มคนจาก “เมืองพวน” ของราชอาณาจักรลาว อพยพข้ามแม่น้ำโขงมาลงหลักปักฐานกันตรงนี้เมื่อราวปี พ.ศ. 2360 ซึ่งในตอนนั้นเรียกว่า "ดงแพง" ซึ่งชาวไทพวนทุกคนล้วนมีความมุ่งมั่นที่จะสืบสานและนำเสนออารยะของคนบ้านเชียงในยุคก่อนประวัติศาสตร์และเอกลักษณ์ของชาวไทยพวนรวมทั้งวัฒนธรรมในพื้นที่อีสาน ผ่านวิถีชีวิตและงานศิลปะ ทุกเส้นสายที่แต่งแต้มสีบนดินปั้น สื่อถึงอารยธรรมอันรุ่งเรืองในอดีต เรื่องราวต่างๆ แทรกอยู่ในเม็ดดินอันอุดมสมบูรณ์ที่ผ่านช่วงเวลาหลายยุคหลายสมัยเรื่อยมา

• ของฝากเครื่องปั้นดินเผาบ้านเชียง

ชุมชนเล็กๆ ของบ้านเชียงไม่เคยขาดคนมาเที่ยวทั้งฝรั่งและไทย เพียงแต่จะมากหรือน้อยเท่านั้นเอง พวกเขามาจากที่ไกลๆ มาดูร่องรอยถึงการมีอยู่ของคนเมื่อ 5,000 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ทั่วโลกต้องตระหนักและรักษา เมื่อแหล่งโบราณคดีบ้านเชียงได้รับการขึ้นทะเบียนไว้ในบัญชีรายชื่อแหล่งมรดกโลกแห่งอนุสัญญาคุ้มครองโลกเมื่อปี พ.ศ.2535 วันนี้ทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ คงจะลืมไปว่าที่อุดรธานี มีหมู่บ้านที่เป็นมรดกโลก ที่น่าศึกษา  น่าค้นหารากเหง้าเมื่อครั้งอดีต  และที่สำคัญบ้านเชียงในวันนี้มีความพร้อมที่จะต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศ ที่จะเดินทางไปนอนพักผ่อนชิลล์ ดื่มด่ำกับบรรยากาศ และวิถีของการใช้ชีวิตที่ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก

• กลุ่มอาชีพทอผ้า ย้อมคราม ผ้าทอไทพวน

 

• ทอผ้ากันแบบดั้งเดิม

 

• หลอดไหมท้อผ้า ของเก่าอายุเกือบ 100 ปี

ย่านที่คึกคักของหมู่บ้านเห็นจะเป็นถนนหน้าพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ นี่แหละครับ ที่นี่มีร้านขายของที่ระลึก กับร้านอาหารเรียงรายติดๆ กันตลอดแนวรั้วพิพิธภัณฑ์ ซึ่งเรามักจะเห็นคนเดินเข้าออกร้านนั้นร้านนี้กันขวักไขว่ บริเวณนี้จะมีตลาดบ้านเชียง ที่มีร้านขายของที่ระลึก ร้านนวดแผนโบราณ ร้านขายผ้าเนื้อดีลวดลายสวยงามของบ้านเชียง 

และยังมีวิถีหัตถศิลป์และภูมิปัญญาของชาวบ้านเชียง กับกลุ่มปั้นหม้อเขียนสี เป็นที่ผลิตภาชนะดินเผาและเขียนสีตามแบบอย่างภาชนะดินเผาของบ้านเชียงโบราณ มีแบบและลวยลายต่างๆ มากกว่า 100 ลายเช่นลายก้นหอย ลายตะขอ ลายเรขาคณิต ลายเชือกทาบฯลฯ  โดยแต่ละรูปทรงและลวดลายจะบ่องบอกถึงยุคสมัยของอารยะธรรมบ้านเชียง กลุ่มปั้นหม้อเขียนสี นอกจากนอกจากผลิตภาชนะดินเผาเขียนสีแล้ว ยังมีกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวได้ทดลองเขียนสีลงบนภาชนะดินเผาขนาดจิ๋วเลียนแบบลายบ้านเชียงอีกด้วย

• ผ้าทอมือตามสั่ง ราคาผืนละไม่ต่ำกว่าครึ่งหมื่น

 

• การใช้ชีวิตที่เรียบง่าย

อีกจุดหนึ่งที่สำคัญและถือเป็นสถานที่ต้องไปเรียนรู้ก็คือ หลุมขุดค้นวัดโพธิ์ศรีใน เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งแห่งแรกของประเทศไทย แสดงการขุดค้นชั้นดินในระดับต่างๆ ซึ่งค้นพบโครงกระดูกมนุษย์ ภาชนะดินเผา เครื่องมือประเภทขวาน หอก เหล็ก ฝั่งอยู่รวมกัน แสดงถึงความเชื่อและวิธีการฝังศพของคนยุคก่อนประวัติศาสตร์เมื่อ 1,800 - 2,300 ปีมาแล้ว และยังพบร่องรอยแกลบข้าวยังติดอยู่ในสนิมของเหล็ก ซึ่งพิสูจน์ได้ว่ามีการปลูกข้าวในสมัยนั้นอีกด้วย 

• ร้าน Dose Espresso อุดาธานี คอกาแฟห้ามพลาด

นอกจากนี้ยังมีกลุ่มอาชีพทอผ้า ย้อมคราม ผ้าทอไทพวน ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจของชาวบ้านเชียง เป็นภูมิปัญญาที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ในการออกแบบลวดลายเลียนแบบธรรมชาติ กลุ่มทอผ้าบ้านเชียงเริ่มจากที่มีการทอผ้าใส่กันเองในหมู่บ้านจนได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะเป็นผ้าทอที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวบ้านเชียงเอง จนกลายเป็นสินค้าโอท็อปของหมู่บ้าน และมีชื่อเสียงอย่างแพร่หลายมากขึ้น ผลิตภัณฑ์ที่กลุ่มทออยู่ปัจจุบัน ได้แก่ ผ้าพันคอ,ผ้าตัดเสื้อ,ผ้ามัดหมี่ 2 ตะกอ และ 4 ตะกอ,ผ้าขาวม้า,ผ้าคลุมไหล และผ้าสีพื้นเรียบสำหรับตัดชุดไทพวน และยังรับทำผ้าตามสั่งทั่วไป

• กาแฟจาก 3 แหล่งระดับโลก

หลังจากที่เราอยู่ที่บ้านเชียงกันจนถึงช่วงบ่าย เราก็เบนเข็มเข้าตัวเมืองเพื่อไปเสพอะไรแบบชิคๆชิวๆ ตามสไตล์คนรุ่นเกือบจะใหม่ดูบ้าง ขับจาก อ. บ้านเชียงเข้าตัวเมือง ระยะทางประมาณ 60 กม. ถือว่าไม่ไกล แต่พอเริ่มเข้าตัวเมืองเราก็เจอกับการจราจรที่ติดขัดไม่ต่างจากกรุงเทพเท่าไหร่นัก นั่นแสดงให้เห็นถึงความเจริญเติบโตไปตามกาลเวลาเมื่อมีความเจริญเข้ามา ความสงบก็จะถูกกลืนกินไปเป็นเรื่องธรรมชาติที่เราต้องทำใจ

วันนี้ได้มาเยี่ยมเยียนจังหวัดอุดรธานี และมีโอกาสได้ยินชื่อเสียงของร้าน Dose Espresso จากเพื่อนผู้เป็นเจ้าถิ่นที่นี่ ก็เลยต้องมีการไปพิสูจน์ว่าชื่อที่ได้ยินมานั้นสมคำร่ำลือหรือไม่ เท่าที่ทราบรู้แต่เพียงว่าร้าน Dose Espresso มีชื่อเสียงเรื่องกาแฟ เป็นอย่างมาก สำหรับร้านนี้อยู่แถวชอยราชพัสดุ ถนนศรีสุขา เมืองอุดรธานี เสิร์ดในกูเกิ้ลแมพ มีแน่นอครับ 

• นวลละออง 

เมื่อเรามาถึงร้านสิ่งแรกที่ได้รับรู้ก็คือ “กลิ่น” ของกาแฟคั่วที่หอมมากๆ ที่ร้านนี้โดดเด่นด้วยกาแฟจาก 3 ประเทศหลักๆคือ เอธิโอเปีย , บราซิล , โคลัมเบีย ภายในร้าน Dose Espresso ตกแต่งได้เรียบๆ แต่น่ารัก มีสเน่ห์ ขนาดร้านไม่ใหญ่มาก แต่ก็ไม่ดูอึดอัดจนเกินไป การบริการดีมากๆ เป็นกันเอง มีการมาแนะนำเมนูต่างๆ และอธิบายที่มาที่ไปในบางอย่างที่เราสงสัยด้วย ชอบการบริการที่ร้านนี้มาก สำหรับเมนูกาแฟที่ทางร้านแนะนำก็เป็น นวลละออง ซึ่งเป็นอเมริกาโน่ปั่นโดยใช้กาแฟของเอธิโอเปีย ที่มีความเปรี้ยวเล็กน้อย แต่มีความเข้มในตัวของเค้าเอง แต่งหน้าด้วยวุ้นกาแฟที่ทางร้านทำเอง ชิมคำแรกบอกเลยติดใจวางไม่ลง

• ฮูล่า ฮาวาย

อีกแก้วเป็นฮูล่าคอฟฟี่ กาแฟสัปปะรดฮาวาย ที่เป็นน้ำสัปปะรดที่ทางร้านคั้นเอง ราดด้านบนด้วยอเมริกาโน่ ที่คราวนี้ใช้กาแฟบราซิล ที่มีความเข้มข้น เสริฟพร้อมชิ้นสัปปะรดอบแห้ง เมนูนี้แปลกใหม่ แต่ได้ความเข้มและความหวานสดชื่นของสัปปะรดอีกด้วย สำหรับร้านนี้ต้องบอกว่าเด็ดจริง ใครที่มาอุดรธานี ร้านนี้ห้ามพลาดครับ     

• Little Pine Tree อุดรธานี หาในกูเกิ้ล เจอแน่นอน

หลังจากสดชื่นกับกาแฟเรียบร้อย เราก็ไปพักผ่อนเพื่อเตรียมตัวรอกินฟรีมื้อเย็นที่ร้าน Little Pine Tree ร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังในจังหวัดอุดร ที่สำคัญเจ้าของร้านเป็นเพื่อเก่าแก่ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม คบกันมา 20 กว่าปี คำว่าเพื่อนไม่มีจางหายจริงๆ

• เห้ย ... ญี่ปุ่นชัดๆ

 

• ตี๋น้อย กับ คุณก้อย

5 โมงเย็นก็ได้เวลาออกไปกินๆๆๆๆๆ กันอีกแล้ว สำหรับร้านที่เราเกริ่นกันไปก่อนหน้านี้กับ Little Pine Tree ร้านนี้ตั้งอยู่ในซ.ตรอกข้าวต้มเปิด 5 โมงเย็นถึงประมาณ 3 ทุ่ม เป็นต้นไป ลืมบอกครับ ร้านนี้ย้ายมาจากซ.หลังโรมแรมบ้านเชียงนะ เมื่อก่อนเป็นร้านเล็กๆ ข้างตึกART เผื่อมีคนเคยไปกินตรงที่เดิม ซึ่งผมเองไปกินตั้งแต่ร้านเดิม จนเจ้า “ตี๋น้อย” เพื่ออินดี้คนนี้ ซื้อตึกใหม่ แล้วย้ายมาเปิดที่นี่ จากการที่เป็นคนอินดี้ อยากเกิดเป็นคนญี่ปุ่นแต่ดันเกิดมาเป็นคนไทย สมัยเรียนขี่จักรยานเสือหมอบมาโรงเรียน โปรดนึกภาพตามเหมือนหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นเลยอ่ะ มีแนวทางเป็นของตัวเองตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นมาก็เลยเสาะแสวงหาทางไปทำงานที่ญี่ปุ่นจนได้ ไม่ได้ตรงกับที่เรียนมา แต่เอาเป็นว่ากูไปตามความฝัน สุดท้ายได้ทั้งภาษา และ วิชามามายมาย โดยเฉพาะเรื่องทำอาหารมา พอกลับมาเมืองไทยก็ทนความอินดี้ของตัวเองไม่ไหว ตัดสินใจเปิดร้านมันซะเลย (ชาติหน้าขอให้เกิดเป็นคนญี่ปุ่น จะได้สมใจมึงนะ)

• คะทซึ คะเระ ราเม็ง อร่อยวัวตายควายดิ้น

สำหรับความเป็นเอกเทศชัดเจนของร้านนี้ คือเมื่อท่านเปิดประตูเข้าไปเท่านั้นแหละ ทุกคนจะต้อง เห้ยยยยย .... นี่มันญี่ปุ่นชัดๆ เพราะการตกแต่งร้านแบบได้ฟีลลิ่งญี่ปุ่นแบบสุดๆ กำแพงร้านก็จะมีรูปเมนูต่างๆ ไว้ให้เลือก มีป้ายในสไตล์ญี่ปุ่นตกแต่งด้านใน พร้อมรูปวาดจำลองบรรยากาศในร้าน ดูอบอุ่น (รูปนี้เพื่อนวาดให้อีกที เพื่อนโคตรเก่งอ่ะ) บอกเลยว่าเข้ามาในร้านนี้อิ่มเอิบกับบรรยากาศญี่ปุ่นเต็มที่แน่นอน 

• ปลาไหล ของจริงญี่ปุ่นยังอาย

เราเข้ามาในร้านประมาณ5 โมงกว่าๆ ก็มีลูกค้านั่งอยู่ด้านในเรียบร้อยแล้ว เยอะซะด้วยขอบอก ร้านนี้เป็นร้านเล็กๆ มีโต็ะไม่เกิน 10 โต๊ะ เมนูอาหารจะเป็นพวก ราเมง หมูทอดทงคัตสึ ยากิโซบะ ไก่คาราเกะ เกี้ยวซ่า ประมาณนี้ หลังจากที่เจอ ตี๋น้อย กับ ก้อย กำลังยุ่งอยู่กับการทำอาหาร เราก็ไม่อยากไปรบกวนในเวลาทำอาหาร ให้เค้าจัดการทำมาหากินไป เราก็มาสั่งเมนูที่เราอยากกิน เริ่มด้วยปลาไหลย่าง ... อันนี้ต้องบอกว่าเป็นปลาไหลแท้ๆ สั่งเข้ามาโดยเฉพาะ เนื้อนุ่ม ย่างบนเตาแบบสุกกำลังดี กรอบด้านนอก นุ่มด้านใน เนื้อไม่ยุ่ย อีกเมนูก็เป็นปลาซาบะย่างซีอิ้ว ... อันนี้ต้องขอแนะนำ เพราะส่วนใหญ่ที่กินมาซาบะจะเนื้อแน่นๆ แข็งๆ แต่อันนี้นุ่ม และมีความเข้มข้นของน้ำซอสที่ราดอยู่บนตัวปล่า ตี๋น้อยบอกว่า ซอสทำเองกับมือ ไม่ได้ไปซื้อแบบเป็นขวดๆในห้างมาผสม และแล้วพระเอกของคืนนี้ก็มาเสริฟ คะทซึ คะเระ ราเม็ง เป็นราเม็งราดหน้าแกงกะหรี่ญี่ปุ่นกับหมูสันนอกทอด เมนูนี้เด็ดสุด ทั้งเส้นราเมง น้ำแกงกะหรี่ที่ถึงเครื่อง และเข้มข้นมากๆ หมูทอดแบบแห้งกรอบ แป้งบาง ไม่อมน้ำมัน ส่วนหมูชาชูที่ใส่มาให้ด้วย ถ้าสังเกตจะเห็นลายเนื้อหมูตัดกับลายไขมัน ชั้นไขมันสวยมาก สำหรับความนุ่มสัมผัสได้ตั้งแต่ตอนคีบแล้ว เมื่อเอาเข้าปาก คุณจะเจอหมูละลายในปาก ฟรึ่บบ..... ไหลลงคอไปเลย ส่วนน้ำซุป ซด ซ้วบบบบ โอ้ย.... อร่อย วัวตายควายดิ้น บรรยายไปยากจะสัมผัสได้จากตัวหนังสือ ต้องไปลองเองครับ ถึงจะรู้ว่าที่ผมบรรยายมันไม่ได้โม้เลย 

• ซาบะย่างซีอิ้ว ต้องมาลองเอง

เมื่อคุณก้อย เห็นว่าเราอิ่มของคาวแล้ว ก็จัดการนำของหวานมาเสิร์ฟ ให้เป็นวุ้นที่ทางร้านทำเองผสมเนื้อผลไม้ด้านใน เสริฟมาแบบ เย็น หวาน สดชื่น ถือว่าเป็นการปิดจ๊อบเมนูอาหารที่ญี่ปุ่นที่ครบถ้วนทุกความอร่อย คิดเงินมาแบบราคาเพื่อนฝูง 300 กว่าบาท ทั้งที่จริงๆแล้วน่าจะราคาเกือบ 1000 เพราะเมนูปลาไหลพอรู้ราคาอยู่ว่าราคาขนาดไหน ให้คิดตังค์เต็มก็ไม่ยอม อินดี้ตามสูตรตี๋น้อย ขอบคุณมากๆกับมิตรภาพความเป็นเพื่อน แม้จะผ่านมาแล้วกว่า 20 ปี

• ตอบโจทย์ทุกการใช้งานกับ Toyota Fortuner 2.4V 4WD Sigma4

รู้ตัวอีกที 3 วัน 2 คืน ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นทริปกินเที่ยวจัดเต็มแบบประทับใจมากทริปนึงเลย ขอขอบคุณบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ที่อำนวยความสนุกในทริปนี้ อยากบอกว่าภาคอีสานบ้านเฮานี้ มีเสน่ห์จริงๆ ทั้งเรื่องชีวิต ความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม และอีกมากมาย สัญญากับตัวเองไว้แล้วว่า ถ้ามีโอกาสจะต้องกลับมาเที่ยวอีกให้ได้ ...... ดีใจที่ได้เกิดเป็นคนไทย .....