
เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ นั่งทำงานแพร็บเดียวก็ผ่านไปเกือบจะหมดปีแล้ว จนเกิดอาการขี้เกียจ ร่างกายมันอยากเที่ยว จะให้รอวันหยุดยาวก็จองที่พัก จองตั๋วเครื่องบินลำบาก อีกอย่างก็ไม่ใช่ทางของเรา เพราะเราชอบแนวขับรถเที่ยวมากกว่า งั้นถึงเวลาที่เราต้องใช้สิทธิ์แอบหนีลูกพี่ไปเที่ยวกันแล้วล่ะ และแล้วการเดินทางหนีหน้าเจ้านายก็เริ่มขึ้น กับทริปยื่นใบลาหนีเที่ยว เตร็ดเตร่หากาแฟดีๆทั่วเกาะภูเก็ต...

เพราะภูเก็ตไม่ได้มีดีแค่ทะเล ได้ยินมาว่ามีกาแฟเด็ดๆ ซ่อนอยู่มากมาย ทริปนี้คอกาแฟอย่างเราต้องไปเสาะแสวงหาชิมซะหน่อย ออกเดินทางจากรุงเทพเป้าหมายจังหวัดภูเก็ต กด GPS ดูระยะทางประมาณ 800 กว่ากิโลเมตร เป็นระยะทางที่ไกล แต่เราไม่กังวลเพราะเราหย่อนตูดไปกับ MERCEDES-BENZ GLC 250 d 4MATIC OFF ROAD ผมขอข้ามรายละเอียดตรงอื่นไปเลยแล้วกันนะครับ เพราะหลายสื่อหลายสำนักก็คงจะเขียนกันไปหมดแล้ว แต่ที่ผมอยากจะเน้นมากสำหรับรถคันนี้ก็คือเรื่องของความสะดวกสบาย และความเงียบที่เหนือกว่าในรถระดับเดียวกัน เพราะอะไรถึงพูดแบบนั้น ท่านผู้อ่านลองคิดดูกับการเดินทางไป/กลับเกือบ 2000 กิโลเมตร ความเหน็ดเหนื่อย ความเมื่อยล้าที่ท่านจะได้รับจากการเดินทางไกล มันมากมายขนาดไหน แต่สำหรับรถคันนี้ตัดเรื่องความรู้สึกแบบนั้นไปได้เลย นี่คือจุดที่ต้องขอชื่นชมจริงๆ สำหรับเรื่องของความเงียบในห้องโดยสาร เมื่อคุณขับขี่ในช่วงความเร็ว 100-120 กิโลเมตร/ชั่วโมง GLC 250d 4MATIC OFF ROAD คันนี้ ทำได้แบบโคตรประทับใจ การเก็บเสียงทำได้ในระดับที่เรียกได้ว่าเงียบสนิท ทั้งเสียงลมปะทะ เสียงจากพื้นถนน รวมถึงเสียงเครื่องยนต์ดีเซลที่ดังแทบจะอยู่ในระดับเดียวกับเครื่องยนต์เบนซินทั่วไป อาจจะจะมีให้ได้ยินแว่วๆ บ้างช่วงที่กดคันเร่งเพื่อคิกดาวน์จนรอบตวัดขึ้นสูง แต่ในการขับขี่ปกติแทบจะไม่ได้ยินเลยด้วยซ้ำไป และเมื่อใช้ความเร็วระดับเกิน 160 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป ก็จะเริ่มมีเสียงลมเล็ดลอดเข้ามาทางประตูด้านข้างบ้าง แต่ก็มีในระดับต่ำจนไม่รู้สึกว่ารบกวนการขับขี่เลยแม้แต่น้อย

ขับออกจากกรุงเทพ ใช้ความเร็วเดินทางปกติ ไม่เกิน 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง มองดูภายในแบบเพลินตากับการออกแบบที่หรูหรา ทันสมัย และมีกลิ่นอายของความสปอร์ตด้วย ลายไม้แบบ Open-Pore Brown Ash Wood พร้อมพวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่นแบบสปอร์ต นอกจากนี้ ยังมีพลังเสียงแห่งสุนทรียภาพ MB Audio 20 และระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบ Bluetooth สามารถควบคุมผ่านปุ่มแบบหมุนขนาดใหญ่ รวมถึงแป้นสัมผัส Touchpad ที่รองรับการเขียนด้วยลายมือได้ ขับกำลังเสียงผ่านระบบเซอร์ราวด์จาก Burmester ที่พบได้ในรถเบนซ์หลายรุ่น ซึ่งให้เสียงระดับไฮเอนด์ โดยไม่ต้องไปติดตั้งอะไรเพิ่มเติมให้วุ่นวาย
ขับไปเพลินๆก็เลยชุมพร กับระยะทาง 500 กว่ากิโลเมตร ล่วงเลยไปกว่าครึ่งนึงของเส้นทางสู่จุดหมาย ความรู้สึกสะดวกสบายภายในส่งผลให้เห็นได้อย่างชัดเจน ไม่มีความรู้สึกเมื่อยล้า ขับสบายตลอดเส้นทาง ถึงแม้จะเป็นเอสยูวีขนาดไม่ใหญ่แต่เรื่องของพื้นที่ภายในห้องโดยสารก็ถือว่ากว้างขวางเลยทีเดียว ในส่วนของเบาะนั่งหุ้มด้วยหนัง Artico สามารถปรับด้วยไฟฟ้าคู่หน้า พร้อมระบบเมมโมรี่ 3 ตำแหน่ง ที่รองขาสามารถยืดไปข้างหน้าได้ ช่วยในเรื่องการรองรับสรีระได้หลากหลาย การออกแบบทรงของเบาะ และการรองรับทั้งพนักพิงหลังและความกระชับของเบาะนั่งคู่หน้า ส่งผลได้อย่างชัดเจนกับการขับทางไกล ซึ่งวัดจากตัวผู้ขับขี่เองที่สามารถขับได้ระยะทางเกิน 500 กิโลเมตร โดยไม่รู้สึกเหนื่อย เมื่อยล้า ทั้งบริเวณหลัง และบริเวณช่วงเหนือบั้นท้าย ซึ่งตรงจุดนี้ ถ้าเป็นรถรุ่นอื่นจะเริ่มรู้สึกเมื่อยเมื่อผ่าน 300 กิโลเมตรขึ้นไปโดยส่วนใหญ่
ส่วนตำแหน่งเบาะนั่งด้านหลังก็นั่งได้สบายๆ ตัวเบาะยังสามารถพับได้ทั้ง 1/3 : 2/3 สามารถปรับองศาพนักพิงหลังได้ 1 ระดับ (ปรับระดับด้วยมือ) เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการจัดเก็บของที่เพิ่มขึ้น เสริมความสะดวกสบายด้วยระบบเปิด-ปิดฝาท้ายอัตโนมัติ เพื่อสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การขับขี่ในทุกรูปแบบ ส่วนออพชั่นเพิ่มเติมที่น่าสนใจก็มีมาแบบจัดเต็มครับ ทั้งกล้องแสดงภาพด้านหลังขณะถอย ม่านบังแดดประตูหลัง ซ้าย-ขวา- ระบบควบคุมและสั่งงานด้วย Touchpad บันไดข้างสแตนเลสดีไซน์สปอร์ตพร้อมปุ่มยางกันลื่น- ฟังก์ชั่นปรับสมดุลอากาศภายในห้องโดยสาร แต่อย่างไรก็ดี รุ่น OFF-ROAD ที่ไม่มีซันรูฟจะมีพื้นที่เหนือศีรษะเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย คนรูปร่างสูงๆ ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้มีให้เหลือเฟือตามสไตล์รถเอสยูวี

เมื่อถึงภูเก็ต จุดหมายแรกของเราอยู่ที่ “เมืองเก่าภูเก็ต” ที่โด่งดังจนดึงดูดให้นักเดินทางทั่วโลกอยากมาพักผ่อนชมความสวยงามของสถาปัตยกรรม “ชิโนโปรตุกีส” สถาปัตยกรรมที่ผสมผสานความเป็นตะวันตกของโปรตุเกสและตะวันออกแบบจีนรวมเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว จนกลายเป็นอาคารที่สวยงามแปลกตาและแฝงไว้ด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ นอกจากนี้ร้านค้าต่างๆ ในย่านเมืองเก่าก็ช่วยกันสร้างความกลมกลืน แปลงโฉมตัวเองเป็นร้านสุดเก๋เพื่อตอบโจทย์นักท่องเที่ยว



สำหรับโซนนี้ถือเป็นแหล่งเช็คอินสุดฮิปของนักท่องเที่ยว เราเดินกินลมชมเมืองเก่าย่านถนนพังงา ก็สะดุดตา..สะดุดใจกับโฮสเทลใหม่เก๋ไก๋ในสไตล์ชิโนโปรตุกีส "The Neighbors Hostel & Cafe" สำหรับที่นี่ที่นี้เป็นทั้งโฮสเทลมีที่พัก 3 ชั้น และคาเฟ่อยู่ด้านหน้าเป็นทั้งล็อบบี้และร้านกาแฟ ภายในตกแต่งด้วยของโบราณ จัดวางภายในตู้โชว์ที่ดัดแปลงจากของร้านทองเดิมและภาพวาดฝาผนังสไตล์จีน ดูสวยหรูมีความสดใสในตัว ที่ร้านมีทั้งชากาแฟ ขนมเค้กและเครป ให้ลองกันมากมายหลายเมนู กับเมนูแรกที่เปิดโสตประสาทก็ต้องเป็นอเมริกาโน่เย็น ที่มาเสริฟพร้อมกับเดนิชชินนาม่อน รสชาติของกาแฟถือว่าจัดจ้านเลยทีเดียว เมล็ดพันธุ์ที่คัดสรรมาอย่างดี เน้นกาแฟคั่วกลางให้ความหอม และเข้มข้น ผ่านน้ำร้อนและแรงดันมาแล้ว รสชาติกำลังดี ไม่เปรี้ยว ถือว่าคอกาแฟน่าจะชอบ สำหรับเดนิชอร่อยมาก ตัวเดนิชด้านนอกกรอบหอมเนย ด้านในนุ่มเหนียวกำลังดี กินกับกาแฟเข้ากันดีทีเดียว รสชาติและหน้าดีขนาดนี้ราคาไม่ถึงร้อย !!! ถูกดีจัง ขอบอก แล้วก็ยังมีเครปแบบฝรั่งเศสหน้าเก๋ๆ รสชาติล้ำๆให้สั่งด้วย Cape Almond Choco รับรองว่ามันทั้งนุ่ม ทั้งกรุบ หอม..อร่อยจนเกินบรรยาย สำหรับเค้กแบบอื่นๆ อย่างเช่น Coconut Cake / Strawberry Cake ก็รสชาติดีไม่น้อยหน้ากัน ลองแวะไป..ไม่ผิดหวังแน่นอน...



จัดการร้านแรกเสร็จก็ตั้งใจเดินมาถนนดีบุก เพื่อที่จะถ่ายรูป “ภาพวาดพระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9” ที่เหล่าศิลปิน และนักเรียนร่วมกันวาดไว้บนผนังบ้านหลังหนึ่ง บริเวณสี่แยกถนนดีบุก เพื่อน้อมรำลึกถึงพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่าน ซึ่งเป็นภาพของพระองค์ท่านในพระอิริยาบถต่างๆ จำนวน 5 ภาพ รวมทั้งพระบรมราโชวาทที่ทรงดำรัสไว้ว่า “ความสามัคคีนั้น หมายถึงว่ามีสิ่งใดที่อาจขัดแย้งซึ่งกันและกันบ้าง ก็ต้องปรองดองกันเสีย และหาทางออกโดยที่ไม่ต้องทะเลาะเบาะแว้งกัน พระความสามัคคีเป็นกำลังอันสูงสูงสุดของหมู่ชน” สำหรับภาพวาดพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระองค์ท่าน เป็นภาพที่ทรงประทับในพระอิริยาบถที่หลากหลาย จะสังเกตว่าเป็นภาพที่ทรงหันพระพักตร์ไปในทิศต่างๆ ซึ่งเป็นการสื่อให้เห็นว่าแม้พระองค์ท่านจะเสด็จไปอยู่บนสรวงสวรรค์แล้ว แต่พระองค์ก็ยังทรงทอดพระเนตรพสกนิกรของพระองค์อย่างทั่วถึง ขณะที่ที่พระพระบรมราโชวาทที่อัญเชิญมาไว้นั้นเป็นการสื่อให้เห็นว่าพระองค์ท่านต้องการให้คนไทยทุกคนมีความรัก ความสามัคคีกัน



สำหรับอาหารอร่อย เจ้าถิ่นภูเก็ตบอกว่ามีร้านเด็ดแบบบ้านๆ ราคาถูก รสชาติเริ่ด รับรองแซบถึงใจแน่ๆ ส่งโลเคชั่นมากดไปตามนี้เลย รถไปจอดหน้าร้าน “โกตี๋ ร้านอาการสังกะสี” พิกัด : หน้าโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต เป็นเพิงสังกะสี เยื้องๆ กับโรงพยาบาล ที่นี่เปิดขายมานาน 23 ปีแล้ว โดยเชฟฝีมือฉกาจคือ “โกตี๋” ที่เป็นคนเลือกวัตถุดิบทุกอย่างเข้าร้าน และปรุงรสชาติในทุกเมนู สิ่งสำคัญก็คือวัตถุดิบทุกอย่างต้องใช้วันต่อวัน เพราะความสดใหม่จะทำให้รสชาติของอาหารดียิ่งขึ้น

จุดเด่นอีกอย่าง คือปริมาณของในแต่ละจานที่เยอะคุ้มค่า เราเลือกเป็นเมนูแนะนำ “แกงส้มยอดมะพร้าว” จัดใส่ถ้วยใหญ่มาเลย สีสันจัดจ้านน่ากินมาก อัดแน่นด้วยปลากะพงและยอดมะพร้าวอ่อนเคี้ยวกรุบๆ รสชาติเปรี้ยว เผ็ด ร้อน กลมกล่อมโดนใจ

อีกเมนูเป็น “ปลากระพงทอด” ชิ้นกะพงเนื้อแน่น หมักแล้วทอดจนเหลืองกรอบ กินกับข้าวสวยร้อนๆ ที่สำคัญต้องราดน้ำจิ้มสูตรพิเศษทีเด็ดของร้าน ทั้งเปรี้ยว หวาน เผ็ด ครบรสจริงๆ

ตามด้วยเมนู “ทอดมันกุ้ง” บอกตรงๆ เลยว่ากินจานเดียวไม่พอ ต้องสั่งเบิ้ล ทอดมันกุ้งที่นี่ชิ้นใหญ่ 6 ชิ้น เนื้อกุ้งหั่นเป็นชิ้นๆ ไม่ได้สับจนละเอียดแบบที่เคยกิน มาคู่กับน้ำจิ้มหวาน ใส่แตงกวาชิ้นเล็กๆ มาด้วย เด็กกินได้ ผู้ใหญ่กินดีเลย

จัดต่อด้วย “ผัดคะน้าหมูกรอบ” เอาไป 5 ดาว เลยจานนี้ อร่อยสุดยอดจริงๆ คะน้าอ่อนๆ ผัดไฟแรง คะน้าสุกด้วยน้ำมันหมู หอมจรุงจิตจรุงใจมาก หมูกรอบไม่แพ้ร้านไหน ผัดมาหนังกรอบ เนื้อข้างในนุ่มเคี้ยวอร่อย กรุบๆ

อีกจานเป็น “ผัดสะตอหมู” สะตออ่อนๆกำลังดี ไม่เหม็นเขียว ผัดกับเครื่องแกงสูตรทางร้านตำเอง อร่อยมาก หอมดี รสชาติออกเข้มข้น เผ็ดร้อน ทานกับข้าวสวยร้อนๆ เด็ดดวง บอกเลยร้านนี้ราคาไม่สะเทือนกระเป๋า!! อิ่มจนจุก

เช้าวันรุ่งขึ้นเราลุยหากาแฟชิมต่ออย่างที่ตั้งใจเอาไว้ ร้านที่ 2 กับชื่อที่แปลกแนว ฮิปสเตอร์ “หนัง(สือ) 2521” ร้านนี้จะมีความเป็นเอกลักษณ์ชัดเจน เป็นการผสมผสานกันระหว่างความเป็น ร้านหนังสือ , ร้านกาแฟ , ร้านแกลเลอรี่รูปถ่าย ร้านนี่ยังมีอีเว้นนัดรวมกันทำทริปถ่ายรูปหรือไม่ก็มีสัมภาษณ์นักเขียนชื่อดังมาที่ร้านด้วยนะ ดูแล้วถือว่าเป็นร้านที่มีความเฉพาะตัวสูงทีเดียว และที่แน่นอนเลยคือ ร้านนี้เราสามารถลองอ่านหนังสือดูก่อนได้ พร้อมสั่งกาแฟถ้วยโปรดไปนั่งจิบไปอ่านไป พอเสร็จแล้วถ้าต้องการซื้อทางร้านมีการห่อหนังสือให้พิเศษเลยยย วินเทจมากๆๆ หนังสือที่นี่มีหลายประเภทให้เลือกเสพ เรียกว่าถ้าใครต้องการไปร้านหนังสือกับร้านกาแฟต่อนี่ มาเรียนนี้ร้านเดียวจบครบครับ พอพูดถึงของฝากร้านนี้มีรูปโพลารอยด์ของสถานที่ต่างๆ ในภูเก็ต และมีถ้วยแก้วกระเบื้องสวยๆ สำหรับนำกลับไปฝากเพื่อนๆ หรือคนรักด้วยนะครับ ส่วนแนวชอบถ่ายภาพ เล่นกล้องฟิลม์ ถ้าอยากแวะดู แกลเลอรี่รูปเก่าๆ ก็มีทีชั้น 2 นะครับ ที่นี่จะมีรูปกล้องฟิลม์ และกล้องฟิลม์เก่าๆ ตั้งโชว์เต็มไปหมดเลย




ส่วนอารมณ์ของกาแฟร้านนี้จะต่างจากร้านแรก เราสั่งเอสเปรสโซ่เย็น หวานน้อย มาลอง ถือว่าเป็นกาแฟรสชาตินวลๆ คือไม่จัดจ้าน แต่จิบแล้วรู้สึกชื่นใจจากคาเฟอีนในกาแฟ รสกาแฟโดยรวมมีรสชาติละมุนลิ้น นมที่ใช้มีรสชาติดี หอมติดอยู่ในกระพุ้งแก้ม นั่งเพลินๆ ร้านนี้บอกเลยสามารถอยู่ได้ทั้งวัน แต่ติดปัญหาตรงที่ว่า เป็นร้านดัง คนเข้ามาไม่ขาดสายที่นั่งเต็มเหมือนเล่นเก้าอี้ดนตรีเลย....



เดินเล่นถ่ายรูปต่อมาอีกสักพักก็มาถึงร้านตามลายแทงที่ 3 ร้านห้องแถวชั้นเดียวอยู่ในซอบเล็กๆ “Doubrew Coffee Café” บรรยากาศดี การตกแต่งร้านแบบ อาร์ตแกเลอรี่และมีรูปศิลปะติดเต็มฝา มีพื้นที่นั่งสองโซน ด้านหลัง เป็น Open Air น่านั่งชิลสไตล์ชาวฮิป เครื่องดื่มและเค้กมีให้เลือกมากมาย เราสั่งกาแฟที่เป็น Signature ของร้านมากิน ออกแนวเอสเปรสโซ่ เข้มข้น รสชาติกาแฟออกทางเปรี้ยว ถ้าคนที่ชอบแนวนี้น่าจะโดน กาแฟแต่ละแก้ว เรารู้สึกว่าบาริสต้าตั้งใจทำมากกาแฟเลยออกมารสชาติดี อีกเมนูที่อยากแนะนำคือ “น้ำสัปปะรดสกัดเย็น” ที่ทางร้านทำเอง มาเป็นขวดเล็กๆ แช่เย็นจัด เสริฟพร้อมแก้วแช่เยน เปิดดื่มอึกแรกบอกเลยสดชื่นมาก มีเนื้อสัปปะรดผสมอยู่ด้วย ใครชอบกินเปรี้ยวๆ ลองดูนะ กินง่าย สดชื่น หายเหนื่อยเลยแหละ



จบ..ทริปขับรถเที่ยว จิบกาแฟ อ่านหนังสือ เดินเล่น พักผ่อนแบบสบายๆ ที่ภูเก็ต เป็นการชาร์จพลังกลับเข้าสู่ร่างกายที่ดี และได้ผลมากที่สุด บอกตรงๆ แค่เราอยากมากินกาแฟ อยากขับรถไปแบบเพลินๆ พักผ่อนสบายๆ ... แค่นี้ไม่มีอะไรมากเลย แต่ที่ได้คือการได้เพิ่มพลังและสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเอง ... เพื่อลุยงานต่อไป
ขอบคุณ พี่ดอม พี่ฝน และ MERCEDES-BENZ GLC 250 d 4MATIC OFF ROAD ที่ช่วยในการมาชิมกาแฟที่จังหวัดภูเก็ต ขอบคุณมากครับ..