• เปิดตัวแกร็บตุ๊กตุ๊กไฟฟ้าในเชียงใหม่
แกร็บ ประเทศไทย นำโดย คุณเอกณพัต สุวรรณธาดา ผู้อำนวยการส่วนภูมิภาค พร้อมด้วย คุณวิรุฬ พรรณเทวี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พล.ท.ภาณุ โรจนวสุ รองนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ ผศ. ดร.ปุ่น เที่ยงบูรณธรรม ภาควิชาวิศวกรรมโยธา และผู้บริหาร สำนักงานกองทุนสนับสนุนงานวิจัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงจัดตั้งเครือข่ายการเดินทางในเมืองเชียงใหม่ (Chiang Mai Smart Mobility Alliance Network)
ในโอกาสนี้ แกร็บยังได้เปิดตัวบริการแกร็บตุ๊กตุ๊ก ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเป็นครั้งแรกในภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อร่วมส่งเสริมการพัฒนาเมืองผ่านเครือข่ายการเดินทางในจังหวัดเชียงใหม่ ขับเคลื่อนระบบขนส่งอัจฉริยะ (Smart Mobility) สู่วิสัยทัศน์เมืองอัจฉริยะ (Smart City) อย่างเป็นรูปธรรม
• ผู้ขับแกร็บตุ๊กตุ๊ก
บันทึกข้อตกลงจัดตั้งเครือข่ายการเดินทางในเมืองเชียงใหม่ ตั้งเป้าลดปริมาณการใช้รถยนต์ส่วนตัวลงร้อยละ 35 ภายใน 5 ปี รวมทั้งลดมลพิษ และแก้ไขปัญหาการจราจรด้วย
นอกจากนี้ ยังเป็นอีกหนึ่งโอกาสสร้างรายได้ให้แก่พาร์ทเนอร์ผู้ขับขี่รายใหม่ของแกร็บตุ๊กตุ๊ก ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ที่ได้รับประโยชน์จากการที่ต้นทุนการประกอบอาชีพลดลงกว่าร้อยละ 80 จากเดิมที่ต้องเติมก๊าซแอลพีจีเฉลี่ยวันละ 200 บาท คิดเป็นต้นทุนเชื้อเพลิง 6,000 บาทต่อเดือน เมื่อเปลี่ยนมาใช้รถตุ๊กตุ๊กพลังงานไฟฟ้า จะมีค่าไฟจากการชาร์จสูงสุดเพียง 1,400 บาทต่อเดือน อีกทั้งยังมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการให้บริการที่สะดวกรวดเร็วผ่านแอพพลิเคชั่นแกร็บบนมือถือ
บริการแกร็บตุ๊กตุ๊ก ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า จะมาเสริมความครบครันด้านบริการผ่านแอพพลิเคชั่นแกร็บด้วยทางเลือกในการเดินทางที่ปลอดภัยและไร้มลพิษ ร่วมกับบริการแกร็บรถแดง แกร็บแท็กซี่ แกร็บไบค์ (วิน) จัสท์แกร็บ รวมถึงแกร็บฟู้ด และแกร็บเอ็กซ์เพรส ในจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนรถตุ๊กตุ๊กที่ใช้ก๊าซแอลพีจีเป็นรถตุ๊กตุ๊ก ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ารวม 450 คันภายในสิ้นปีนี้
• พันธมิตรแกร็บตุ๊กตุ๊กในเชียงใหม่
จากข้อมูลของกลุ่มวิจัยเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี รถตุ๊กตุ๊ก ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 1 คัน สามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 4.18 ตันต่อปี
ในประเทศสิงคโปร์ แกร็บได้เปิดตัวรถพลังงานไฟฟ้าฮุนได โคน่า ที่มีจำนวนมากที่สุดในภูมิภาคโดยมีถึง 200 คัน โดยได้รับการสนับสนุนจากเครือข่ายสถานีชาร์จของเอสพี กรุ๊ป และมีเป้าหมายที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 4 ตันต่อปี สร้างรายได้ให้แก่พาร์ทเนอร์ผู้ขับขี่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 25 ต่อวัน จากการลดต้นทุนของเชื้อเพลิง