สำหรับ All New Toyota Corolla Altis ถือเป็นรุ่นน้องลำดับที่ 3 ที่เข้าสู่ยุคใหม่ของโดยโยต้า โดยใช้เทคโนโลยี TNGA ที่สร้างชื่อให้กับโตโยต้ายุคใหม่มาแล้ว 2 รุ่น นั่นคือ C-HR และ Camry ซึ่งหากใครได้สัมผัสทั้งสองตัวนั้นมาก่อน จะเข้าใจเป็นอย่างดีว่า TNGA ช่วยทำให้โตโยต้าขับได้สนุก ตอบสนองดีขึ้นมากขนาดไหน
การออกแบบภายนอกมากับแนวคิด “Shooting Robust” มีการออกแบบกระจังหน้าแนวนอนใหม่สีดำตัดโครเมียมพร้อมโลโก้สามห่วงตรงกลางและมีพื้นขอบสีฟ้าในรุ่นไฮบริด แนวเส้นสายขนาบข้างด้วยไฟหน้า LED Projector รูปตัว J พร้อมไฟส่องสว่างกลางวันแบบ LED Daytime Running Lights ดีไซน์ช่องระบายอากาศด้านหน้าขนาดใหญ่สีดำ พร้อมไฟตัดหมอกฝั่งอยู่ในชุดกันชนหน้าขนาดไม่ใหญ่ ล้ออัลลอยมีให้เลือกตั้งแต่ขนาด 15 นิ้วพร้อมยาง 195/65 R15 ขนาด 16 นิ้ว พร้อมยาง 205/55 R16 และขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง 225/45 R17 ในรุ่นที่ได้ทดสอบ ด้านท้ายแน่นอนว่ามาพร้อมกับไฟท้าย LED ที่มีดีไซน์ของเส้นสีเงินเชื่อมต่อกันระหว่างไฟท้ายทั้งสองฝั่ง และด้านล่างฝั่งขวาจะพบได้กับโลโก้ไฮบริด และด้านซ้ายกับชื่อรุ่น Corolla Altis ซึ่งบริเวณไฟส่องป้ายทะเบียนเป็นตำแหน่งของกล้องถอยหลัง และกันชนหลังติดตั้งมาพร้อมเซ็นเซอร์กะระยะถอยเพื่อความปลอดภัย
ภายในห้องโดยสารของ All New Toyota Corolla Altis เน้นการตกแต่งในโทนสีดำตัดสีเงิน ได้รับการออกแบบให้ดูเรียบง่าย แต่มีเส้นสาย และความแปลกไปจากโตโยต้าแบบเดิมๆ มีการติดตั้งอุปกรณ์ให้สามารถใช้งานได้เข้าใจง่าย ไม่มีปุ่มอะไรเยอะให้ดูวุ่นวาย มาตรวัดตรงผู้ขับขี่เป็นแบบ TFT สว่างดี แต่ ... ตัวหนังสือเล็กไปหน่อย ใส่มาให้เยอะ ครอบคลุมทุกการแสดงผล แต่อ่านยากไปนิดนึง ที่สำคัญรูปแบบของการวางตำแหน่งและรูปแบบสัญลักษณ์ต่างๆ อาจจะมองดูไม่ทันสมัยซักเท่าไหร่นัก แต่ก็ยังดีมีแถม Head up Display แสดงข้อมูลการขับขี่บนกระจกหน้ามาให้ด้วย มาต่อกันที่แดชบอร์ดตรงกลางเด่นด้วยจอกลางสัมผัสขนาด 8 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay พร้อมระบบนำทาง Navigator และรองรับ T-CONNECT แถมปล่อยไวไฟมาให้ใช้งานกันได้ด้วย ลงมาหน่อยจะพบกับชุดแผงควบคุมระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ มีระบบ Nanoe ระบบกรองอากาศภายในห้องโดยสาร ซึ่งแน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ควรมี ถัดลงมาด้านล่างจะเป็นส่วนของ Wireless Charger แท่นชาร์จไฟแบบไร้สาย ที่มีสวิทซ์เปิดปิดการทำงานมาให้ด้วย ต่อเนื่องถัดมาจะเป็นตำแหน่งของคันเกียร์ที่มีสวิทซ์การปรับโหมดการขับขี่ โหมดขับขี่ไฟฟ้าล้วน รวมไปถึงสวิทซ์ปิดระบบควบคุมการทรงตัว และด้านล่างคันเกียร์จะมีสวิทซ์ควบคุม Auto Brake Hold ระบบหน่วงแรงเบรกอัตโนมัติ และ Electric Parking Brake ระบบเบรกมือไฟฟ้า อยู่คู่กัน ก่อนที่จะพบกับที่วางแก้ว 2 ช่องเรียงกันเป็นแนวยาว
อีกเรื่องที่รู้สึกได้คือผิวสัมผัสทั้งคอนโซล และแผงประตูข้างที่มีความนุ่มนวลมากขึ้น ไม่ใช่พลาสติกเพียวๆ แบบเดิม สำหรับแบตเตอรี่ ไฮบริด ถูกออกแบบให้ติดตั้งอยู่ใต้เบาะนั่งผู้โดยสารตอนหลัง จึงไม่เปลืองเนื้อที่ในห้องเก็บสัมภาระด้านท้าย และง่ายต่อการระบายความร้อน โดยที่ผู้โดยสารหลังไม่ต้องรับความรู้สึกถึงลมระบายความร้อนเช่นรุ่นก่อนๆ
สิ่งที่อาจจะทำให้รู้สึกขัดใจเล็กน้อย ก็คงเรื่องของความกว้างขวางสะดวกสบายที่อาจจะถูกตัดทอนลงไปจากคอนโซลหน้าที่กินเนื้อที่ไปมากพอสมควร ซึ่งส่งผลให้พื้นที่ห้องโดยสารอึดอัด เพราะการกินเนื้อที่นี้ ส่งผลมาถึงเบาะคู่หน้า และเบาะนั่งผู้โดยสารด้วยที่สำคัญพื้นที่วางขาทั้งหน้าและหลัง แคบลงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
All New Toyota Corolla Altis มาพร้อมพวงมาลัยดีไซน์แบบ 3 ก้าน หุ้มหนังพร้อมตกแต่งด้วยสีเงิน มีสวิทซ์ควบคุมบนพวงมาลัยทั้งฝั่งซ้ายและขวา โดยทางขวาเน้นในส่วนของการควบคุมระบบล็อคความเร็วอัตโนมัติ และสวิทซ์ปรับระยะจากรถคันหน้ารวมไปถึงการเปิดปิดระบบเรดาร์ตรวจจับเส้นถนน ส่วนด้านซ้ายเป็นสวิทซ์ควบคุมสี่ทิศทางที่คุมการเลือกเมนูต่างๆ
ในส่วนของการทดลองขับขี่ แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบคือ ขับในสนาม และขับใช้งานจริง ช่วงเช้าเริ่มต้นกับการทดสอบในสนาม TDEX ที่มีการจำลองสถานการณ์ต่างๆ ให้ได้ทดสอบ เริ่มต้นด้วยการวิ่งสลาลม ที่ความเร็วต่ำราว 10 - 20 กม./ชม. เพื่อทำความคุ้นเคยกับการควบคุมพวงมาลัย สัมผัสแรกในช่วงความเร็วต่ำเบาดี เหมาะกับการใช้งานในเมือง จากนั้นไปทดสอบระบบเบรก ABS และระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC ซึ่งเป็นการวิ่งออกตัวไปบนพื้นกระเบื้องเปียกน้ำ เร่งความเร็วตรงไปยังพื้นที่เปียก ก่อนเบรกแบบกะทันหันพร้อมกับการหักพวงมาลัย ถือว่าช่วงล่าง และ ระบบทั้งหมดให้ความมั่นใจได้มาก ในการควบคุมรถบนพื้นเปียกและเมื่อต้องเบรกแบบกะทันหัน
หลังจากนั้นก็มาสลาลมที่ความเร็วประมาณ 60 กม./ชม. ตัวรถให้ความรู้สึก นิ่ง และ ควบคุมง่าย แม้จะไม่ได้หนึบ แน่น แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวรถโคลงจนน่ากลัว กลับรถอีกครั้ง ทีนี้ทดลองอัตราเร่ง กดคันเร่งส่งออกไป สังเกตได้ว่าตั้งแต่กดคันเร่งจมมิดมอเตอร์ทำงานก่อน แล้วเครื่องยนต์จะเข้ามาผสานกำลังพร้อมเสียงที่พอได้ยิน ก่อนที่ความเร็วจะไหลขึ้นต่อเนื่องและแตะที่ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะว่าไปอัตราเร่งขนาดนี้ กับรถแบบนี้ ถือว่าทำมาพอดีตัว ไม่แรงและไม่เหี่ยว ผมว่าน่าจะเน้นใช้งานสบายๆ มากกว่า CHR
ก่อนจบรอบแรกของการวิ่งทดสอบในสนาม ขับผ่านสะพานจำลองเพื่อดูอาการของช่วงล่างในการยุบและยืดตัวที่ไม่ได้รู้สึกกระด้าง แต่จะมีอาการโยนมากน้อยหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับการใช้ความเร็ว ก่อนที่จะจบรอบแรกด้วยการวิ่งผ่านพื้นผิวถนนรูปแบบต่างๆ ที่ช่วงล่างก็ได้มอบความนุ่มในการขับและการโดยสาร ได้ดี ไม่ย้วยจนเกินไป แจ่ก็ไม่แข็งจนรู้สึกกระด้าง
ในรอบสองของการขับทดสอบ เริ่มด้วยการทดสอบการทำงาน ระบบเตือนให้รักษาตำแหน่งรถเมื่อเบี่ยงออกนอกเลนพร้อมพวงมาลัยหน่วงกลับอัตโนมัติ Lane departure alert with steering assist ที่จะเริ่มทำงานที่ความเร็ว 30 กม./ชม. ขึ้นไป สามารถเปิดระบบได้จากสวิทซ์บนพวงมาลัยด้านขวา เมื่อเปิดระบบจะมีเส้นปะซ้ายขวาแสดงขึ้น และเมื่อมีการจับเส้นบนถนนได้หน้าจอจะแสดงกลายเป็นเส้นทึบ และเมื่อขับออกนอกเลนหรือเส้นที่ระบบตรวจจับได้ จะมีการแจ้งเตือนทั้งเสียงและแถบสีที่เส้นข้างถนนบนหน้าจอ และพวงมาลัยก็มีการหน่วงกลับอัตโนมัติ อันนี้ของดี สำหรับคุณผู้หญิง แต่งหน้า ทางปาก ในรถควรมีอย่างยิ่ง ...
และท้ายสุดกับระบบควบคุมความเร็วแปรผันอัตโนมัติ Dynamic Radar Cruise Control แบบ Full-Speed range ที่สามารถรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าได้ถึง 3 ระดับ และเมื่อรถคันหน้าจอดหยุดสนิทตัวรถก็จะรักษาระยะและจอดสนิทด้วย ซึ่งเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ต่อตัวรถก็จะเคลื่อนที่ตามรถคันหน้า หากแต่มีการหยุดนานเกินกว่า 4 วินาที ผู้ขับขี่จะต้องมีการเตะคันเร่งเล็กน้อยเพื่อให้ระบบทำงานต่อ และระบบนี้ยังมีการควบคุมทิศทางของรถไปทางซ้ายหรือขวาตามรถคันหน้าด้วย โดยสังเกตได้จากกราฟฟิครูปรถที่จะแสดงที่หน้าปัดบริเวณเดียวกันกับระบบ Lane departure alert with steering assist และเมื่อรถคันหน้าได้เลี้ยวขวาหลุดออกไปจากการตรวจจับของระบบ ระบบก็จะยังคงความเร็วในตอนนั้นๆ เอาไว้ ไม่เร่งความเร็วขึ้นไปตามที่เราได้ตั้งไว้ก่อน ซึ่งระบบนี้บอกก่อนว่าไปลองมาแล้วที่ญี่ปุ่น กับ LEXUS LS 460 HL ซึ่งในตอนนี้ ถูกนำมาติดตั้งอยู่ใน All New Toyota Corolla Altis ไม่ต้องถามนะ ว่าคุ้มกับราคามั้ย ... ถามใจคุณเองดูดีกว่า ว่าเอาระบบเทพแบบนี้ มาใส่ในรถระดับนี้ คนที่คุ้มคือใคร ...
หลังจากทดลองขับขี่ในสนามเรียบร้อยบ เราก็ไปทดลองขับกันบนถนนจริง กับการเดินทางออกนอกเมือง การขับขี่เส้นทางหลักเป็นการวิ่งบนเส้นทางมอเตอร์เวย์ ใช้ความเร็วเดินทางประมาณ 120 กม./ชม. All New Toyota Corolla Altis ตอบสนองได้ด้วยความสบายทั้งการเป็นผู้ขับขี่และในโหมดที่ต้องนั่งเป็นผู้โดยสารได้เป็นอย่างดี ช่วงล่างที่เซ็ทมาให้นุ่มนวล ใช้งานแบบสบายๆ บวกกับตัวรถที่มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ก็ให้ความมั่นใจในการเปลี่ยนเลนไปมาพอสมควร และพวงมาลัยที่ตอบสนองแม่นยำ สามารถควบคุมรถได้ดี แค่ประคองพวงมาลัย ทำให้ไม่รู้สึกเครียด ส่วนในจังหวะที่ต้องการเร่งแซง ทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ ผสานกันได้แบบสมดุล ตัวรถไต่ความเร็วขึ้นไปแบบไหล ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ในช่วงการเร่งแซงที่ความเร็ว 80-140 กม./ชม. ทำได้ดี และจะเริ่มช้าลงตั้งแต่ประมาณ 150 กม./ชม. ซึ่งก้อถือว่าเพียงพอแล้วสำหรับการใช้งานในการเดินทางไกล
อีกเรื่องที่หลายๆ คนอยากทราบกันก็คืออัตราบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงกับเครื่องยนต์เบนซิน Hybrid นี้ สำหรับการเดินทางที่มีเจอกับทั้งการจราจรที่หนาแน่น และการใช้ความเร็วในการเดินทางในช่วง 90-120 กม./ชม. บวกกับบางจังหวะที่มีการเติมคันเร่งมากกว่าปกติเพื่อการแซง ตัวเลขที่ได้ออกมาอยู่ที่เฉลี่ย 21-22 กม./ลิตร (เป็นตัวเลขที่คำนวณโดยอัตโนมัติจากตัวรถ) ถือได้ว่าเป็นตัวเลขจากการขับขี่ใช้งานจริง หากขับขี่ด้วยความเร็วที่คงที่ไม่เร่งแซงและไปแบบเรื่อยๆ สบายๆ ที่ทางโรงงานเคลมไว้ 23 กม./ลิตร ผมว่าก็ไม่น่ายาก
ด้านความปลอดภัยจัดเต็มมาให้ทั้ง Back Guide Monitor กล้องมองภาพขณะถอยหลัง Rear Cross Traffic Alert ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ Hill-start Assist Control ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Blind Spot Monitor ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง Back Sonar สัญญาณเตือนกะระยะท้ายรถ Tire Pressure Monitoring System ระบบแจ้งเตือนเมื่อลมยางผิดปกติ Traction Control System ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี Vehicle Stability Control ระบบควบคุมการทรงตัว Anti-lock Brake System ระบบป้องกันล้อล็อก Electronic Brake-force Distribution ระบบกระจายแรงเบรก Brake Assist ระบบเสริมแรงเบรก ถุงลมเสริมความปลอดภัยระบบ SRS 7 ตำแหน่งทุกรุ่น โครงสร้างตัวถังนิรภัย GOA พร้อมคานนิรภัย และยังมี Toyota Safety Sense ที่ประกอบด้วย ระบบความปลอดภัยก่อนการชน Pre-collision system, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Dynamic Radar Cruise Control, ระบบไฟสูงอัตโนมัติ Automatic High Beam, ระบบเตือนให้รักษาตำแหน่งรถเมื่อเบี่ยงออกนอกเลนพร้อมพวงมาลัยหน่วงกลับอัตโนมัติ Lane departure alert with steering assist
สรุปโดยรวมกับ All New Toyota Corolla Altis ถือเป็นรถยนต์ไฮบริด ที่ได้มอบประสบการณ์การขับขี่ที่ง่ายและสะดวกสบายกับผู้ขับขี่เป็นอย่างมาก เป็นรถที่ใครๆ ก็สามารถขับได้ มีกำลังเครื่องยนต์ที่เพียงพอในการใช้งานทั่วไป มาพร้อมกับระบบเบรกที่ไว้ใจได้และนุ่มนวล และโดดเด่นกับช่วงล่างที่เน้นไปให้ใช้งานแบบสบายๆ แต่ก็ยังมั่นใจได้ในทุกการขับขี่ ภายในอาจจะดูแคบ จากการวางโพซิชั่นของคอนโซลหน้าที่ยื่นออกมามากเกินไป แต่ก็ถูกลดความหงุดหงิดลงด้วยการให้อุปกรณ์อำนวยความสะดวกมาแบบเต็มคราบ
ถ้ามองกันแบบกลางๆ ไม่ฝักไฝ่ฝ่ายใด All New Toyota Corolla Altis รุ่นเครื่องยนต์ไฮบริด 1.8 Hybrid High เกียร์อัตโนมัติ ราคา 1,099,000 บาท ถือว่าเป็นรถที่คุ้มค่า ทั้งเรื่องของราคา การใช้งาน สิ่งที่ใส่มาให้ ขอออกความเห็นส่วนตัวอีกเรื่องว่า แต่ละค่าย คิดมาดีแล้วว่า จะใส่อะไรบ้าง หรือลดทอนอะไรลงไปบ้าง มันไม่ได้อยู่ที่เราตัดสินใจ มันอยู่ที่ค่ายรถ เพราะฉะนั้น เค้าคิดมาดีแล้วก่อนที่ปล่อยรถออกมาขาย กับคำถามที่ว่า ทำไมไม่ทำแบบนั้น ทำไมไม่เซ็ทแบบนี้ ทำไมค่ายนั้นยังมีแล้วของคุณทำไมไม่มี ทำไมไม่ให้แบบค่ายนั้น ผมว่ามันอยู่นอกเหนือความสามารถที่เราจะไปบอกเค้าได้ครับ เราคือสื่อมวลชนที่มีหน้าที่ทดลองขับ แล้วมาเล่าให้ฟังว่า มีจุดเด่น จุดด้อย ตรงไหนบ้าง เพื่อให้ผู้บริโภคตัดสินใจ ย้ำนะครับ เพื่อเป็นตัวช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจ หน้าที่ของเรามีแค่นั้นเองครับ ทำหตามหน้าที่ ทำหน้าที่ของเราให้ดีก็พอครับ ...
ขอบคุณ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด อำนวยความสะดวกในการทดลองขับ ...