ความตกลงปารีสซึ่งมีผลบังคับใช้ในปี 2559 กำหนดเป้าหมายระยะยาวในการจำกัดการเพิ่มสูงขึ้นของอุณหภูมิโลกโดยเฉลี่ยให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียสเมื่อสิ้นสุดศตวรรษนี้ ปัจจุบันประเทศสมาชิกต่างๆ ได้กำหนดเป้าหมายการลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้มากที่สุดภายในปี 2573 โดยหนึ่งในการขับเคลื่อนสู่เป้าหมายดังกล่าว คือการสนับสนุนการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าหรือรถยนต์อีวี
มิตซูบิชิ มอเตอร์ส พัฒนารถยนต์พลังงานไฟฟ้า โดยตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 100 ปีของ มิตซูบิชิ นอกจากชื่อเสียงด้านเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแล้ว บริษัทฯ ยังคิดค้นนวัตกรรมด้านพลังงานทางเลือกอย่างต่อเนื่อง โดยได้เริ่มทำการวิจัยและพัฒนารถยนต์พลังงานไฟฟ้า เพื่อผลิตในเชิงอุตสาหกรรมอย่างเต็มรูปแบบ (Mass Production) ในปี 2509 และภายในปี 2514 มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ได้ทำการส่งมอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้าไทพ์อี12 (มินิกาแวน) จำนวน 10 คันให้แก่ บริษัท โตเกียว อิเล็กทริค เพาเวอร์ ก่อนจะต่อยอดไปสู่การเปิดตัว มิตซูบิชิ ไอ มีฟ (Mitsubishi i-MiEV) รถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นแรกของโลกที่จำหน่ายในเชิงพาณิชย์เมื่อปี 2552 จนกระทั่ง มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี (ปลั๊กอินไฮบริด) ได้ทำการเผยโฉมครั้งแรกในโลกที่งาน ปารีส มอเตอร์โชว์ ปี 2555
นับตั้งแต่การเปิดตัวในประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 2556 มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี จำหน่ายไปแล้วมากกว่า 50 ประเทศทั่วโลก และมียอดจำหน่ายสะสมมากกว่า 200,000 คันเมื่อสิ้นสุดปี 2561
สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ได้ทำการมอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแก่หน่วยงานรัฐบาล มหาวิทยาลัย และสถาบันการวิจัยต่างๆ เพื่อการทดลองสาธิต และร่วมดำเนินกิจกรรมต่างๆ เพื่อสนับสนุนการใช้รถพลังงานไฟฟ้าในแต่ละประเทศ
สำหรับประเทศไทยซึ่งเป็นฐานการผลิตที่ใหญ่ที่สุดของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส นอกประเทศญี่ปุ่น มิตซูบิชิ มอเตอร์ส มีแผนที่จะทำตลาดรถยนต์อีวีและพีเอชอีวีซึ่งคาดว่าจะมียอดจำหน่ายรวมในภูมิภาคนี้ถึง 1.2 ล้านคันภายในปี 2579 โดยการสนับสนุนจากภาครัฐ ทั้งนี้ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ได้รับการพิจารณาอนุมัติส่งเสริมการลงทุน เพื่อการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าประเภทปลั๊กอินไฮบริดเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อเดือนมีนาคม 2562 ที่ผ่านมา
ด้วยเทคโนโลยีอันก้าวล้ำและวางใจได้ที่มีอยู่ใน มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี ช่วยให้สามารถใช้ประโยชน์จากแบตเตอรี่ไฟฟ้าอย่างหลากหลายนอกเหนือจากการใช้เพื่อการขับขี่
ด้วยเทคโนโลยี V2X (Vehicle to Everything) ซึ่งใช้เป็นแหล่งจ่ายพลังงานได้สำหรับทุกสิ่ง รวมทั้งใช้เป็นแหล่งจ่ายพลังงานสำหรับครัวเรือนหรือที่เรียกว่าเทคโนโลยี V2H (Vehicle to Home) โดยรถยนต์อีวีหรือพีเอชอีวีจะทำการชาร์จไฟฟ้าเก็บไว้ และทำหน้าที่เป็นแหล่งจ่ายพลังงานไฟฟ้าให้กับครัวเรือนได้เมื่อจอดพัก พร้อมด้วยเทคโนโลยี V2G (Vehicle to Grid) ทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงข่ายไฟฟ้า โดยการเก็บสะสมและจ่ายกระแสไฟฟ้าจากรถยนต์อีวีหรือพีเอชอีวีจำนวนมาก ซึ่งจะสร้างเสถียรภาพให้กับโครงข่ายไฟฟ้าเมื่อเกิดความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานต่อพลังงานไฟฟ้า
นอกจากจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้าแล้ว เทคโนโลยีดังกล่าวยังช่วยให้มีไฟฟ้าใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินและในกรณีเกิดภัยทางธรรมชาติ รถยนต์อเนกประสงค์แบบพีเอชอีวีของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส สามารถทำหน้าที่เป็นแหล่งจ่ายพลังงานไฟฟ้าเคลื่อนที่ให้กับแหล่งชุมชนได้
ภายในงานเจนีวา อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2019 เมื่อเดือนมีนาคม 2562 มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ได้จัดแสดงกลยุทธ์ด้านพลังงานไฟฟ้าที่ทันสมัยไปอีกขั้น ผ่านการสาธิตของ “เดนโด ไดร์ฟ เฮ้าส์” หรือ DDH (DENDO DRIVE HOUSE) ซึ่งในภาษาญี่ปุ่น “เดน” หมายถึง “ไฟฟ้า” และ “โด” หมายถึง “การขับขี่” ทั้งนี้ เดนโด ไดร์ฟ เฮ้าส์ เป็นระบบเครือข่ายพลังงานรูปแบบใหม่ที่ช่วยให้เจ้าของรถยนต์สามารถผลิต กักเก็บ และถ่ายเทพลังงานโดยอัตโนมัติระหว่างรถยนต์และบ้านของตนเอง ซึ่งไม่เพียงเพิ่มคุณค่าของรถยนต์อีวีหรือพีเอชอีวีเท่านั้น แต่ยังสร้างระบบเครือข่ายพลังงานที่ยั่งยืนอีกด้วย