การตอบสนองของเครื่องยนต์สัมผัสแรกที่รู้สึกได้คือเสียงการทำงานเงียบมากขึ้นชัดเจน แม้กระทั่งยืนอยู่ด้านหน้าของตัวรถเปรียบเทียบกับรุ่นก่อนหน้าเสียงแตกต่างกันชัดเจน การตอบสนองของอัตราเร่งช่วงออกตัวกระฉับกระเฉงขึ้นพอรู้สึกได้ การตอบสนองของช่วงล่างในช่วงความเร็วต่ำถึงปานกลางนุ่มนวลขึ้นพอรู้สึกได้ มาจากการพัฒนาโครงสร้างใหม่ เมื่อใช้ความเร็วสูงขึ้นจังหวะเข้าโค้งยิ่งรู้สึกได้ถึงการยึดเกาะที่นุ่มหนึบ ให้การบังคับควบคุมมั่นคงมากยิ่งขึ้น ระบบเบรกมีการปรับปรุงใหม่ด้วยการย้ายตำแหน่งแม่ปั๊ม ABS เพื่อลดเสียงที่จะเข้าสู่ห้องโดยสาร ปรับจูนการตอบสนองที่นุ่มนวลสั่งได้ตามใจ รวมถึงส่งผลให้การทำงานของระบบช่วยเหลือต่างๆ ทำได้รวดเร็วแม่นยำมากยิ่งขึ้น เทคโนโลยีช่วยในการขับขี่อย่างระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ พร้อมระบบ Stop & Go และระบบควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง (Adaptive Cruise Control with Stop-and-Go and Lane Centering) ที่ช่วยให้การเดินทางสะดวกสบายและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น การทำงานของระบบช่วยต่างๆ มีการทำงานที่ละเอียด มีการเตือนไม่พร่ำเพื่อจนน่ารำคาญ
ในรุ่น Titanium+ 4×4 มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบระบบขับเคลื่อนจากเดิมที่เป็น Full Time 4WD ถือว่าเป็นจุดเด่นของรถรุ่นนี้ คราวนี้เป็นมาเป็น Part Time 4WD แทน อาจจะดูเหมือนการลดต้นทุนเพราะมีการเอาชิ้นส่วนสำคัญออกไป แต่ในความเป็นจริงแล้วระบบขับเคลื่อนแบบ Full Time 4WD นั้นเหมาะกับภูมิประเทศเมืองหนาวมีหิมะมีน้ำแข็งมากกว่า การใช้งานบนถนนเมืองไทยนั้นจะทำให้เปลืองน้ำมันมากกว่า การเปลี่ยนเป็นระบบขับเคลื่อนแบบ Part Time 4WD สามารถใช้โหมด 2H ได้ช่วยให้ประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้น และยังมีระบบช่วยเหลือการขับขี่อีกหลายโหมดมาช่วยเสริมด้านความปลอดภัยก็ถือว่าชดเชยกันได้ มาพร้อมโหมดการขับขี่ถึง 6 รูปแบบช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมรถได้ง่ายขึ้นเพียงแค่มองให้ออกว่าเส้นทางด้านหน้าเป็นอย่างไร แล้วเลือกโหมดให้เหมาะสมตัวรถจะทำการปรับทั้งการส่งกำลัง ตำแหน่งเกียร์ หรือ แม้แต่ระบบช่วยเหลือต่างๆ ให้ทำงานอย่างเหมาะสมในโหมดนั้นๆ