ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์
เครื่อง 2.0 ดีเซลเทอร์โบคู่ กำลัง 213 แรงม้า
วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2561 : ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ เผยโฉมอย่างเป็นทางการครั้งแรก ด้วยดีไซน์อันโดดเด่นตามแนว ฟอร์ด เอฟ-150 แร็พเตอร์ กระจังหน้าโลโก้ FORD สะกดด้วยตัวพิมพ์ใหญ่ ชุดกันชนหน้ามีไฟตัดหมอก LED พร้อมช่องช่วยลดการต้านลม แก้มข้างตีโป่งขยายรองรับระยะยุบตัวของโช้ค และยางออฟโรดขนาดใหญ่ มีหลายสีให้เลือก ได้แก่ สีฟ้าไลท์นิ่ง บลู (Lightning Blue) สีแดงเรซ เร้ด (Race Red) สีดำแชโดว์ แบล็ค (Shadow Black) สีขาวโฟรเซ่น ไวท์ (Frozen White) และสีพิเศษ สีเทาคองเคอร์ เกรย์ (Conquer Grey) ตัดกับสีเทาไดโน่ เกรย์ (Dyno Grey) เพื่อให้ดูโดดเด่น มิติตัวรถสูง 1,873 มม.กว้าง 2,180 มม.และยาว 5,398 มม.ระยะช่วงล้อหน้าและหลัง 1,710 มม.ความสูงใต้ท้องรถ 283 มม.มุมไต่ 32.5 องศา มุมคร่อม 24 องศา และมุมจาก 24 องศา
บันไดข้างเจาะเป็นรู ให้ระบายทราย โคลน และหิมะได้ ผลิตจากอะลูมิเนียมอัลลอย ผ่านการทดสอบด้วยการกดน้ำหนัก 100 กก.84,000 ครั้ง และเคลือบสองชั้น โดยพ่นสี powder-coated ก่อนพ่น grit-paint ทับอีกชั้น กันชนท้ายมีตะขอเกี่ยว 2 ชุด ลากจูงได้ 3.8 ตัน ส่วนกระบะท้ายมีพื้น 1,560 x 1,743 มม.
ระบบกันสะเทือนหลังระบบวัตต์ลิงค์และคอยล์โอเวอร์ช็อค ทำให้เพลาท้ายเคลื่อนที่อย่างมั่นคง แชสซีส์ผลิตจากเหล็กอัลลอย HSLA (High-Strength Low-Alloy) และเสริมความแข็งแรงด้านข้างของแชสซีส์ (ไซด์เรียล) เพื่อรองรับแรงกระแทก ระบบเบรกหน้าคาลิปเปอร์ลูกสูบคู่ จานเบรก 332 x 32 มม.ส่วนดิสก์เบรกหลังมีระบบ brake actuation master cylinder ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเบรก จานเบรกขนาด 332 x 24 มม.คาลิปเปอร์เบรก 54 มม.โช้คอับแบบ Position Sensitive Damping (PSD) ที่จะเพิ่มแรงต้านเมื่อมีการกระแทกเต็มช่วงยุบกระบอกโช้ค เมื่อขับขี่แบบออฟโรด และจะลดแรงต้านเมื่อขับขี่บนทางเรียบ ผลิตโดย Fox Racing Shox ใช้ลูกสูบโช้ค 46.6 มม.ทั้งหน้าและหลัง ปีกนกทำจากอะลูมิเนียม โดยปีกบนทำด้วยวิธีการฟอร์จ และปีกล่างใช้วิธีการหล่อ ยาง All-terrain BFGoodrich 285/70R17 (เส้นผ่าศูนย์กลาง 838 กว้าง 285 มม.)
แผงกันกระแทกด้านล่าง ผลิตจากเหล็กกล้า หนา 2.3 มม.รวมทั้งยังมีกันแคร้งเครื่องยนต์และเกียร์ ทั้ง 3 ส่วนนี้ยังช่วยปกป้องหม้อน้ำ ระบบพวงมาลัยไฟฟ้า สายพานหน้าเครื่อง และคานล่างด้านหน้า
เรนเจอร์ แร็พเตอร์ มีโหมดการขับขี่ 6 รูปแบบ โดยผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดจากปุ่มบนพวงมาลัย ประกอบด้วย ในทางเรียบมีโหมดปกติ กับ โหมดสปอร์ต ในทางออฟโรดมีโหมดหญ้า/กรวดหิน/หิมะ (ออกตัวด้วยเกียร์สอง), โหมดโคลน/ทราย (ใช้เกียร์ต่ำที่มีแรงบิดสูง), โหมดหิน และสุดท้ายโหมดบาฮา ที่ขับขี่ออฟโรดด้วยความเร็วสูง ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีจะถูกตัดการทำงาน เพื่อไม่ให้แทรกแซงการทำงานของเครื่องยนต์
แร็พเตอร์ใช้เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด เครื่องยนต์ดีเซล Bi-Turbo (เทอร์โบคู่) ขนาด 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 213 แรงม้า และแรงบิด 500 นิวตันเมตร ผ่านการทดสอบ เทอร์โมไซเคิล (Thermo cycle) ที่ทำให้เทอร์โบทั้ง 2 ลูกร้อนจัด จนกลายเป็นสีแดงนาน 200 ชั่วโมงติดต่อกัน ด้วยลูกปืนเทอร์โบที่มีประสิทธิภาพและเทอร์โบแรงดันต่ำระบายความร้อนด้วยน้ำ จึงทนต่ออุณหภูมิสูงมากได้
การทำงานร่วมกันระหว่างเทอร์โบแรงดันสูง (HP) ที่เชื่อมต่อกับเทอร์โบแรงดันต่ำ (LP) ที่มีขนาดใหญ่กว่า และถูกควบคุมด้วยวาล์วบายพาสที่ทำหน้าที่ควบคุมลำดับการทำงานของเทอร์โบทั้งสองลูกโดยขึ้นอยู่กับความเร็วของเครื่องยนต์ เมื่อรอบเครื่องยนต์ต่ำ เทอร์โบทั้ง 2 ตัว จะทำงานตามลำดับ แต่เมื่อช่วงรอบเครื่องยนต์สูง อากาศจะไม่ไหลผ่านเทอร์โบแรงดันสูง ทำให้เทอร์โบแรงดันต่ำที่ใหญ่กว่าช่วยเพิ่มกำลังเครื่องยนต์ให้สูงขึ้น ส่วนเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ผลิตจากวัสดุเหล็กกล้า อะลูมิเนียมอัลลอย และคอมโพสิท ที่ทนทานและมีน้ำหนักเบา เนื่องจากเกียร์มี 10 จังหวะ ทำให้มีอัตราทดที่แคบลง จึงทำให้มีอัตราเร่งดีขึ้น
อุปกรณ์อำนวยความสะดวกและปลอดภัยก็มาครบ ทั้งระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (Electronic Stability Program) คอยช่วยเมื่อเข้าโค้งหรือเบรกกะทันหันจนเสียการทรงตัว ระบบควบคุมการทรงตัวขณะลากจูง (Trailer Sway Control) ระบบช่วยออกตัวขณะจอดรถบนทางลาดชัน (Hill Launch Assist) ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางชัน (Hill Descent Control) และระบบควบคุมการบรรทุก (Load Adaptive Control) และกล้องมองหลังแสดงภาพบนจอแอลซีดีขนาด 8 นิ้ว ซึ่งทำงานร่วมกับสัญญาณเตือนระยะจอดด้านหลัง ปิดสเต็ปด้วยระบบผ่อนแรงฝากระบะท้าย (EZ Lift Tailgate) ด้วยกลไกผ่อนแรงของผู้ใช้ลงไป 66 เปอร์เซ็นต์